นับตั้งแต่ Star Wars Battlefront II โดย DICE ออกวางจำหน่าย ปัจจุบันตัวเกมได้รับการปรับปรุงจนกลายเป็นเกมที่เรียกได้เต็มปากว่า ‘สมบูรณ์’ อย่างเต็มภาคภูมิ แต่อย่างที่เรารู้ว่าในช่วงแรก เกมมีปัญหาของ loot box บานปลายจนเกิดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง แล้วผู้พัฒนาเขามีความคิดอย่างไรกับเรื่องราวเล่านี้?
ไม่มีสัปดาห์ไหนเลยที่ผ่านไปโดยเราไม่คิดว่า
‘ลองนึกดูสิ ว่าถ้าเราไม่ได้ปล่อยเกมไปพร้อมกับ loot box ละ’
คุณ Dennis Brännvall ผู้กำกับฝ่ายการออกแบบของ Star Wars Battlefront II กล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจ จากการสัมภาษณ์ของคุณ James Batchelor นักเขียนประจำสำนักข่าว GamesIndustry.biz
ตามที่เรากล่าวไว้ข้างต้น ตัวเกม Battlefront II วางจำหน่ายพร้อมกับระบบ loot box ซึ่งส่งผลต่อความสมดุลของเกมอย่างยิ่งยวด จนทำให้มีกระแสต่อต้านเกมและระบบ loot box จนทางผู้พัฒนาต้องระงับและถอดระบบดังกล่าวในเวลาต่อมา ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดกระแสการต่อต้านและมาตรการในการจัดการเรื่องดังกล่าว มิใช่แค่ในสังคมผู้เล่นเกม แต่ยังรวมไปถึงภาครัฐของหลายประเทศเลยทีเดียว ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีข่าวเกี่ยวกับการจัดระเบียบระบบ loot box ในวิดีโอเกมอยู่ต่อเนื่อง ซึ่งทางคุณ Brännvall ก็ได้พูดถึงแนวทางการแก้ไขและให้การสนับสนุนเกมนี้ในหลายประเด็น
กลับมามองตัวเองและแก้ปัญหาที่ค้างคา
“เราต้องถอยกลับไปสักก้าวแล้วมาแก้ไขปัญหาทั้งหมด ซึ่งไม่แตกต่างไปจาก Rainbow Six Siege” คุณ Brännvall กล่าว “พวกเขาไม่ได้ปล่อยเกมออกมาตามสิ่งที่เขาคาดหวังไว้ แต่ตอนนี้มันดีขึ้นมาก และพวกเราคิดว่าเราอยู่ในทิศทางเดียวกัน”
DICE ยังคงสนับสนุนและแก้ไขตัวเกมอย่างต่อเนื่อง ด้วยแผนการสนับสนุนที่มีความชัดเจน ต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบสองปีตั้งแต่เกมจำหน่าย พวกเขาต้องการจะเอาชนะใจสังคมเกมนี้ให้ได้ “เราร่วงลงไปถึงจุดต่ำสุดในแง่ความเชื่อมั่นของผู้เล่น แต่เราก็ไต่ขึ้นมาทุก ๆ เดือน เราผลิตเนื้อหาของเกมในปีนี้มากกว่าปีแรกเสียอีก ซึ่งเป็นสัญญาณของเกมที่มีคุณภาพเช่นกัน โดยเฉพาะเราเพิ่งมีประกาศใหญ่ไปเมื่อวาน ผมคิดว่าเราต้องถอยกลับมาสักก้าว มองตัวเองในกระจกเสียหน่อย พยุงตัวเองขึ้นมาจากช่วงคริสต์มาสที่สาหัสสากรรจ์สำหรับทุกคน (ในทีม) จากนั้นแค่กลับไปทำงาน” และเขากล่าวอีกว่าตอนนี้เกมมันสนุกกว่าเดิมเยอะ
สิ่งที่แตกต่างจาก Battlefront 1
มีการปล่อยแผนการสนับสนุนของ Battlefront II ในปี 2019 มีสิ่งที่น่าสนใจอย่างโหมดใหม่ เช่น PvE ซึ่งจับกลุ่มเล่นได้ถึงสี่คน, โหมด Instant Action ซึ่งเป็นโหมดที่อยู่ในตัว Battlefront ภาคต้นฉบับ เป็นโหมดการเล่นคนเดียว และเนื้อหาที่ใหญ่ที่สุดในแผนการปี 2019 อย่างเนื้อหาที่อิงจากภาพยนตร์ The Rise of Skywalker ซึ่งรูปแบบการสนับสนุนมีความแตกต่างกับภาคแรก เพราะไม่ได้ใช้ระบบ DLC แต่จะเป็นการสนับสนุนให้ฟรี ๆ โดยการใช้ระบบ DLC ในภาคแรก ส่งผลให้มีการแยกฐานผู้เล่นออกอย่างชัดเจน
“กับ Battlefront 1 รู้สึกว่าเราอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปยังภาคต่อ เรารู้วันสิ้นสุดของการสนับสนุนเนื้อหาของภาคแรก ก่อนเราจะวางจำหน่ายเสียอีก” คุณ Brännvall กล่าว “เรารู้ว่ามันจะมีอายุหนึ่งปีสำหรับ DLC ใน season pass จากนั้นก็ไป Battlefront II เราทำแบบนั้นเหมือนกับว่ามีที่ขวางกั้นประสบการณ์ (ของผู้เล่น) ถ้ามีระบบในเกมภาคแรกที่ใช้การไม่ค่อยได้ เราก็จะมาแก้กันในภาคต่อ” ซึ่งก็เป็นการยอมรับกลาย ๆ ว่า Battlefront เป็นเพียงการทำออกมาลองระบบของเกมเพื่อนำไปสานต่อแก่ Battlefront II
และด้วยการที่เปลี่ยนรูปแบบการสนับสนุนของเกม ทำให้ผู้พัฒนาสนับสนุนตัวเกมได้ง่ายและต่อเนื่องกว่าเดิม พวกเขาสามารถอัปเดตเกมได้ทุก ๆ เดือน และมีการเพิ่มสิ่งใหม่มาตลอด แต่กับภาคแรกจะอัปเดตเป็นไตรมาสในรูปแบบ DLC ซึ่งก็เฉพาะฐานผู้เล่นที่ซื้อ DLC ถึงแม้จะมีการแก้ข้อผิดพลาดในเกมให้ แต่ส่วนใหญ่ก็สำหรับผู้เล่นที่จ่ายเงินซื้อเท่านั้น แต่สำหรับภาคสอง เป็นการอัปเดตสำหรับทุกคนที่มีเกมนี้
ทำเพื่อผู้เล่นไม่ใช่เพื่อผู้ซื้อ
“ทีมพัฒนารู้สึกเพลิดเพลินกับการพัฒนาเกมมากกว่าเดิม เพราะคุณรู้สึกว่าคุณกำลังสร้างสังคมเกมอยู่ มันรู้สึกจะเป็นเรื่องส่วนตัวกว่าที่เคย และมันเป็นเกมที่ดีขึ้น มันเป็นเรื่องของการปรับปรุงเกมแทนที่จะเป็นการตีราคาให้ผู้บริโภค”
ทางทีมพัฒนารู้สึกว่าพวกเขาต้องการมอบสิ่งต่าง ๆ ให้กับผู้เล่น อยากให้สังคมเกมรู้สึกว่าผู้พัฒนารับผิดชอบต่อผู้เล่นจริง ๆ อย่างปกติ ตัววงจรเวลาการสนับสนุนเกมของทาง DICE หรือ EA ส่วนใหญ่จะมีเวลาประมาณสองปี และมีภาคต่ออย่างต่อเนื่อง ถ้ายังคงเป็นเยี่ยงนั้น ตอนนี้คงมีการประกาศ Battlefront 3 ไปแล้ว ซึ่งไม่ได้เป็นแบบนั้นใน Battlefront II พวกเขายังคงมีแผนการสนับสนุนต่อเนื่อง คุณ Brännvall ยืนยันว่า DICE ไม่ต้องการทำแบบเกมก่อน ๆ ของเขา “มันไม่สมเหตุสมผลเลยนะ ถ้าจะพยายามจะหยุดไม่ให้ผู้เล่นได้เล่นเกมที่พวกเขาชอบ และให้พวกเขาไปเล่นเกมใหม่ ที่พวกเขาควรจะชอบเช่นกัน เพียงเพราะเราไม่อยากสนับสนุนเกมอีกต่อไป มันไม่เป็นผลดีต่อสังคมเกมแน่นอน ซึ่งในยุคนี้ ถ้าไม่ดีต่อสังคมเกมมันก็จะไม่ดีต่อธุรกิจเช่นกัน เป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องทำแบบนี้”
สิ่งที่เราคาดหวังในภายภาคหน้า
เป็นเรื่องดีที่ทางทีม DICE และ EA ได้เปลี่ยนแนวทางของตัวเอง เป็นผลดีต่อทั้งตัวผู้เล่น, ตัวเกมและผู้พัฒนาเอง จากทิศทางดังกล่าว เราสามารถคาดหวังต่อสิ่งดี ๆ ที่อาจจะเกิดกับเกมในสังกัดของ EA ได้อย่างแน่นอน นอกจาก Battlefront เราเห็นเกมอื่นในสังกัด EA ที่กำลังเปลี่ยนแนวทางการสนับสนุนเช่นกัน อย่าง Need for Speed: Heat ซึ่งทำให้เราได้รับรู้ว่าพวกเขารับฟังเสียงจากสังคมผู้เล่นเกมจริง ๆ ไม่ได้ปล่อยปละละเลยแต่เพียงใด อย่างที่คุณ Brännvall กล่าวเอาไว้ เป็นมุมมองความคิดที่เราคงจะมั่นใจกับ DICE และ EA ได้
ในความคิดของพวกเรา เราพยายามมอบทุกสิ่งอย่างให้กับผู้เล่น