เป็นเรื่องที่เราอดเอามาเปรียบเทียบไม่ได้ สำหรับ Cyberpunk 2077 ผลงานเกมที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาของทีมงาน CD Projekt RED กับผลงานก่อนหน้าของพวกเขาอย่าง The Witcher 3: Wild Hunt ที่เป็นหนึ่งในเกมแห่งยุคสมัย และเป็นบรรทัดฐานของการพัฒนาเกมสมัยใหม่ ที่ยากซึ่งใครจะโค่นล้ม
แม้ Cyberpunk 2077 จะเปิดตัวออกมาด้วยมุมมองของการเล่นที่เปลี่ยนไป และมีโลกที่เปลี่ยนจากความแฟนตาซีในยุคกลางมาเป็นความ “พังค์” ในโลกอนาคตอันแสนโสมม มันก็ทำให้ใครหลายคน รวมถึงตัวเราอดสงสัยไม่ได้ว่ามันจะพาเราไปได้ไกลยิ่งกว่าที่ The Witcher 3 ได้พาเราไปหรือไม่?
และสิ่งที่เป็นการเป้าหมายสำคัญของการพัฒนา Cyberpunk 2077 ให้เป็นได้มากกว่า The Witcher 3 ผลงานเกมก่อนหน้าของพวกเขาก็คือ การทำให้การเล่าเรื่องใน Cyberpunk 2077 มี “ความไร้รอยต่อ” (Seamless) ยิ่งกว่าประสบการณ์ที่ The Witcher 3 เคยมอบให้กับเหล่าผู้เล่น จากบทสัมภาษณ์ของคุณ Maciej Pietra หัวหน้าทีมสร้างแอนิเมชันในส่วนของฉาก Cinematic จากทาง CD Projekt RED กับทางนิตยสาร PC Gamer ฉบับเดือน ธันวาคม 2018 เขาก็ได้บอกเอาไว้ว่า เป้าหมายหลักของทีมงานคือ การสร้างจุดเปลี่ยนผ่านระหว่างการกระทำและเรื่องราวให้มีความราบรื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะต้องทำให้ผู้เล่นไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมัน จนดำดิ่งกับโลกของเกมได้อย่างแยบคาย
และเพื่อที่จะได้มาซึ่งความจมดิ่งที่ผู้เล่นจะได้รับนั้น แน่นอนว่า CD Projekt RED ก็มีหลายวิธีการที่ได้เตรียมไว้เพื่อไปให้ได้ซึ่งเป้าหมายที่จะทำให้ผู้เล่นรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งไปกับโลกของเกมอย่างแท้จริง และหนึ่งในตัวอย่างที่คุณ Maciej Pietra บอก มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมากทีเดียว มันเป็นสิ่งที่หลายๆ เกมไม่เคยให้ความใส่ใจกับมัน นั่นคือสายตาของผู้เล่น ที่คุณ Maciej Pietra ได้อธิบายวิธีการของเขาเอาไว้ว่า
“หากคุณมองไปยังสิ่งของบางอย่าง ในระหว่างการสนทนา เราก็ต้องการให้ตัวละคร NPC นั้นสามารถสังเกตได้”
นั่นก็คือหนึ่งในอีกหลายวิธีการที่ทาง CD Projekt RED ต้องการที่จะให้เกมของพวกเขามอบประสบการณ์อันเป็นหนึ่งเดียวไปกับผู้เล่นด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ของการพัฒนาเกมกำลังก้าวไปข้างหน้า ในเชิงของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่นและโลกของเกม มันเป็นสิ่งที่ Red Dead Redemption 2 ผลงานของทางค่าย Rockstar Games ได้นำเสนอมาแล้ว กับการมอบประสบการณ์ของโลกเกม ที่จำลองพฤติกรรมและพลวัตได้อย่างสมจริง จนผู้เล่นแทบไม่รู้สึกเลยว่ากำลังเล่นเกม
หากเทียบกับ The Witcher 3 แล้ว แม้ทั้งคู่จะมีความเป็นเกมแนวสวมบทบาทหรือ RPG เหมือนกันทั้งคู่ แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างเกมทั้งสอง นอกไปจากจักรวาลและเรื่องราวก็คือ อิสระในการพัฒนาเกมของทาง CD Projekt RED ที่มากขึ้นกว่าเดิม เพราะใน The Witcher นั้นพวกเขาจำต้องเล่าเรื่องราวผ่านตัวละคร Geralt of Rivia ที่เป็นหลัก จากฉบับนิยาย จึงทำให้หลายสิ่งหลายยังจำต้องถูกบีบบังคับให้ต้องเล่าเรื่องราวไปตามครรลองอย่างที่มันควรจะเป็น
ผิดกับ Cyberpunk 2077 ที่พวกเขาสามารถมีอิสระได้อย่างเต็มที่ แม้จะมีรากฐานมาจากเกมกระดานในชื่อเดียวกัน แต่มันก็ยังมีความเป็นต้นฉบับในแบบที่ CD Projekt RED ต้องการ ด้วยตัวเอกอย่าง V ที่ผู้เล่นสามารถกำหนดปูมหลังของตัวละคร เพศ และหน้าตาได้ ก็จะทำให้การผจญภัยครั้งใหม่ในโลกอนาคตอันแสนโสมม เต็มไปด้วยอิสระที่พวกเขาจะสามารถสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้อย่างที่ใจของพวกเขาต้องการ
ซึ่ง Cyberpunk 2077 จะพาเราไปได้ไกลยิ่งกว่า The Witcher 3 แค่ไหน และมันจะสามารถก้าวข้ามผ่านผลงานก่อนหน้าของพวกเขา รวมไปถึงโลกเสมือนของเขตชายแดนในตะวันตกใน Red Dead Redemption 2 หรือเปล่า? มันยังเป็นเรื่องที่เราต้องติดตามกันต่อไปเพราะแม้เกมของพวกเขาจะอยู่ในช่วงของ Pre-Alpha ที่สามารถเล่นตั้งแต่ต้นจนจบได้แล้ว แต่มันก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาต้องการที่จะเพิ่มเติมเข้าไป และทำให้มันกลายเป็นอีกหนึ่ง “การปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมเกม” อย่างที่พวกเขาเคยทำได้อย่างแน่นอน
อ่านต่อเรื่องราวอื่นๆ ของ Cyberpunk 2077