Resident Evil Village Review

สิ่งที่ผู้เขียนสามารถสัมผัสได้จากซีรีส์เกม Resident Evil โดยตลอดมาคือการที่ทีมงาน Capcom ดูจะภาคภูมิใจในผลงานเก่าๆ ของพวกเขามาก มากเสียจนแม้แต่ตัวเกมฉบับสร้างใหม่อย่าง Resident Evil 2 และ 3 ที่เพิ่งออกวางจำหน่ายไปก็ยังคงไว้ซึ่งสิ่งที่ยังคงเป็นเกม Resident Evil ในแบบฉบับดั้งเดิม โดยที่มีการเปลี่ยนแปลงเพียงรูปแบบของเกมการเล่นให้มีความทันสมัยมากขึ้นเท่านั้น แต่เนื้อแท้ของมันก็แทบจะไม่ต่างไปจากเกมภาคต้นฉบับที่ออกวางจำหน่ายเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเลย

มันยังคงเป็นเกม Resident Evil ในแบบฉบับที่เรารู้จักที่กลับมาให้เราได้หายคิดถึง หาใช่การแก้ไขความผิดพลาดในอดีตแบบที่เกมฉบับสร้างใหม่มักเลือกทำ และความภาคภูมิใจของพวกเขาก็ยังคงต่อยอดมาเรื่อยๆ มาจนถึง Resident Evil Village ที่แม้จะถูกโปรโมตว่าเป็นเพียงภาคต่อโดยตรงของ Resident Evil 7: Biohazard แต่ในทัศนะของผู้เขียน นี่แหละคือผลผลิตที่เกิดจากความภาคภูมิใจของ Capcom ที่สั่งสมมาเป็นเวลาอย่างยาวนาน และยังคงเรียกได้ว่ามันคือเกมในแฟรนไชส์ Resident Evil ภาคหลักได้อย่างเต็มภาคภูมิ

baker re biohazard

Resident Evil 7: Biohazard คือวิวัฒนาการครั้งใหม่ของทีมงาน Capcom ในการนำเสนอรูปแบบการเล่นแบบใหม่กึ่งลองผิดลองถูก ที่ประสบความสำเร็จไปอย่างเหลือเชื่อ หลังจากที่แฟรนไชส์นี้เริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นกับเกมในภาคก่อนหน้าที่มีความเน้นหนักทางความเป็นเกมแอ็กชันตามยุคสมัยที่ออกมาเอาใจตลาดในวงกว้าง (ที่ก็ประสบความสำเร็จในด้านรายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้)

แต่ถึงแม้ Resident Evil 7: Biohazard จะมีการนำเสนอในรูปแบบมุมมองบุคคลที่หนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในเกมภาคหลักของซีรีส์ แต่ในส่วนของการออกแบบเกมโดยรวม มันคือเกมที่ได้นำจิตวิญญาณของ Resident Evil ในภาคแรกกลับมาอีกครั้ง ที่ยังคงความเป็นเกมในภาคแรกแบบไม่มีผิดเพี้ยนที่ผสมความ “ติดดิน” เข้าไปให้กับเกมมากขึ้นด้วยการแทนตัวละครเอกของเกมอย่าง “อีธาน วินเทอส์” (Ethan Winters) ตัวเอกคนใหม่ของแฟรนไชส์ที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของผู้เล่น และมันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นใน Resident Evil Village แต่แทนที่แม่แบบจากเกม Resident Evil ในภาคแรกมาเป็นเกม Resident Evil 4 ภาคที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของแฟรนไชส์ และเป็นหนึ่งในเกม Resident Evil ที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จทั้งในด้านรายได้, ยอดขาย, เสียงจากเหล่านักวิจารณ์ และรวมไปถึงเสียงตอบรับจากเหล่าแฟนเกมด้วย

resident evil 4

ในมุมมองของผู้เขียน “เนื้อเรื่อง” น่าจะเรียกได้ว่าเป็นจุดอ่อนของเกมในแฟรนไชส์ Resident Evil เสมอมาครับ ด้วยการที่มันเริ่มต้นมาด้วยความเป็นหนังเกรด B ในยุคเริ่มแรกที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังซอมบี้ของ “จอร์จ เอ. โรเมโร” (George A. Romero) ที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น หลังจากนั้นเป็นเรื่องราวของมันก็เริ่มแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา และมันก็มีแฟนๆ หลายคนที่เริ่มสัมผัสได้ว่ามันเริ่มที่จะ “ออกทะเล” ไปไกลแล้ว แต่ถึงมันจะไปไกลแค่ไหนเนื้อเรื่องของเกมก็ยังคงอัตลักษณ์ของความเป็น Resident Evil เหมือนเดิม แม้กระทั่งเมื่อพวกเขาได้รับโอกาสในการแก้ตัวใหม่กับการเกมภาครีเมกอย่าง Resident Evil 2 และ 3 พวกเขาก็ยังคงไม่มีเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์เหล่านั้น ที่เหมือนเป็นการบอกกลายๆ ว่าเนื้อเรื่องของ Resident Evil จะไม่มีการเดินถอยหลังกลับและจะยังคงก้าวต่อไปข้างหน้าตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไปเช่นเดิม

เช่นเดียวกันใน Resident Evil Village มันก็ยังคงเป็นเกม Resident Evil ในแบบที่เคยเป็น แม้มันจะเริ่มต้นเรื่องราวด้วยการเล่าเรื่องที่มีความจริงจัง ในการพาเราไปทำความรู้จักกับตัวละครเอกที่เป็นตัวแทนของผู้เล่นอย่าง อีธาน วินเทอส์ ให้มากขึ้น แต่หลังจากผ่านพ้นช่วงเกริ่นนำไป มันก็พาเรากลับไปยังความเป็น Resident Evil ทันทีที่หากใครที่เคยเล่นเกมในภาค 4 มาก่อนพอน่าจะพอยังจำกันได้ดีกับจังหวะจะโคนที่เกมในภาคนี้นำเสนอที่ถอดแบบมาแทบจะทุกจังหวะ

เกมพาเราเริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมดด้วยการออกตามหา โรส (Roesmary) ลูกสาวของ อีธาน ที่โดน คริส เรดฟิลด์ ลักพาตัวไปอย่างปริศนาในหมู่บ้านแถบยุโรปตะวันออกอันห่างไกล ก่อนมันจะพาเรามาผจญภัยในปราสาทที่มีเจ้าของเป็นผีดูดเลือดสาวร่างยักษ์ “เลดี้ ดิมิเทรส” (Lady Dimitrescu) และลูกสาวแวมไพร์ทั้งสาม วายร้ายที่ทีมงานชูโรงมาโดยตลอดก่อนเกมออกวางจำหน่าย แต่มันก็เป็นเพียงแค่ 1 ใน 4 ของเรื่องราวทั้งหมดเท่านั้น เพราะหลังจากเกมก็จะพาเราทัวร์สวนสนุก ที่ประกอบไปด้วยบ้านผีสิงสุดสยอง, ล่องเรือผจญสัตว์ประหลาด, เดินหน้าลุยกับเหล่าอมนุษย์, ท่องโรงงานเครื่องจักรกลในแดนแฟนตาซี, ก่อนปิดฉากด้วยการผูกเรื่องราวทั้งหมดของแฟรนไชส์นี้ได้อย่างน่าประทับใจในสไตล์เกม Resident Evil อย่างที่เคยเป็นมา

dimitrescu family

ว่ากันตามตรงแล้ว ผู้เขียนเองก็ค่อนข้างพอใจกับชั่วโมงการเล่นของตัวเกม Resident Evil Village อยู่พอสมควรครับ ที่มีความยาวในการเล่นรอบแรกราว 10-12 ชั่วโมงแบบเก็บรายละเอียดเกือบทั้งหมด แต่ก็สัมผัสได้ว่ามันมีบางส่วนของตัวเกมที่ควรจะมีความยาวมากกว่านี้ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกขาดหายอะไรไป มันก็ยังคงมีความกลมกล่อมในแบบที่ทางทีมงานอยากให้เป็น ในการสร้างสมดุลระหว่าง ความหลอน, ความระทึก, ความแอ็กชัน และการแก้ปริศนาที่ทีมงานอิงโครงสร้างมาจากเกมในภาค 4  ที่อาจจะมีบางส่วนที่ดูเจือจางไปบ้างแต่มันก็เป็นการเจือจางเพื่อเพิ่มความอร่อยของรสชาติให้รับประทานได้สนุกปากมากขึ้น

ด้วยการปรับสมดุลอย่างที่ได้กล่าวไปทำให้ ความหลอน ความระทึกของเกมถูกลดลงกว่าเดิม มันถูกปรับแต่งให้เข้าถึงผู้เล่นขวัญอ่อนได้ง่ายขึ้น (แต่ก็ยังมีบางจุดที่มีหลายคนว่ากันว่ามันมีความสยองในระดับดีกรีความหลอนพุ่งทะลุปรอท) ด้วยความแอ็กชันที่เพิ่มมากขึ้น จากการที่พื้นที่ในเกมมีความกว้างให้เราได้หลบหลีกเหล่าตัวประหลาดในภาคนี้ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม มีแจกกระสุนและทรัพยากรมาให้เราใช้ในการต่อสู้มากขึ้น แต่สิ่งที่ยังคงเดิมก็คือความระทึกขวัญที่มีความหลากหลายทั้งการถูกคุกคามทั้งจากศัตรูทั่วไปที่มีการเพิ่มปริมาณต่อฉากมากขึ้น และจากศัตรูที่ไม่สามารถสู้ในรูปแบบปกติ  ประกอบกับในส่วนของการแก้ปริศนา การย้อนกลับไปเก็บไอเทมที่ซุกซ่อนตามจุดต่างๆ มันก็ถูกปรับลดความซับซ้อนลงมาด้วยการบอกตำแหน่งหรือคำใบ้แบบตรงตัวที่ทำให้เรายังรู้สึกฉลาดกับการแก้ไขปริศนาได้ แม้มันจะไม่ได้ยากมากก็ตาม

แต่กระนั้นมันก็ยังมีส่วนที่น่าเสียดายที่เกมน่าจะทำได้ดีกว่านี้อยู่บ้าง โดยเฉพาะความหลากหลายของศัตรูที่ผู้เล่นจะต้องเจอในเกม อาจจะเป็นเพราะเกมให้ความสำคัญไปกับการสร้างศัตรูในระดับบอสที่มาแบบจัดเต็มทุกตัวก็เป็นได้ ที่ทำให้ศัตรูตามรายทางไม่มีความน่าสนใจเท่าที่ควร ซึ่งนอกจากเหล่า “ไลแคน” ศัตรูตัวหลักที่เกมโปรโมตและเหล่าศพเดินได้ที่คล้ายซอมบี้แล้วมันก็แทบจะไม่มีศัตรูประเภทอื่นเลย แถมความหลากหลายของมันก็มีไม่มากนักหากเทียบกับเกม Resident Evil ภาคก่อนๆ ที่ประเดประดังเหล่าอมนุษย์มาให้เราได้จัดการ ซึ่งเจ้าเหล่า ไลแคน เองก็คงสร้างความผิดหวังให้กับผู้เล่นที่เจนจัดอยู่พอสมควร เพราะถึงแม้มันจะมาพร้อมกับความว่องไว มีการฉีกหลบการโจมตี มีรูปแบบการเข้าทำที่หลากหลายมากกว่า “โมลด์” ในภาคที่แล้ว แต่มันก็ไม่สำแดงเดชและมีความเกรี้ยวกราดได้อย่างที่ควรจะเป็นซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะองค์ประกอบที่เกื้อหนุนความเป็นแอ็กชันที่เพิ่มเข้ามา

re village enemy

ในส่วนของระบบต่างๆ ที่เกมปรับเปลี่ยนและเพิ่มเติมเข้ามาในภาคนี้อย่างระบบการอัปเกรดอาวุธปืน ระบบพ่อค้าซึ่งถอดแบบมาจากเกมในภาค 4 แทบทุกกระเบียดนิ้ว (ถอดแบบมายันชนิดของอาวุธต่างๆ ที่มีให้ใช้งานในเกม) ก็ทำให้เกมมีความน่าดึงดูดมากขึ้น แม้มันจะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่แต่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้เล่นในเกมอยากให้ถูกนำกลับมาอีกครั้ง เพิ่มเติมด้วยระบบการล่าสัตว์เพื่อนำมาปรุงอาหารเพิ่มความสามารถให้กับผู้เล่นที่แม้จะดูสุกเอาเผากินไปสักนิด กับรายละเอียดที่ไม่ลึก เสมือนองค์ประกอบการปลดล็อกความสามารถแบบมีเงื่อนไขที่ได้มาจากการเก็บไอเทมทั่วๆ ไปในเกม ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องมีระบบในส่วนนี้ก็ได้แต่มันก็ช่วยให้ฉากต่างๆ ในเกมมีองค์ประกอบที่น่าสำรวจมากขึ้น

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น Resident Evil Village มีความจริงจังในการเล่าเรื่องที่ “ติดดิน” มากขึ้นและส่วนสำคัญที่ทำให้มันสามารถแสดงศักยภาพในการเล่าเรื่องแบบนั้นได้ก็เป็นเพราะการที่ทีมงานได้มีการยกเครื่องมาใช้เอนจินเกม in-house ที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมาเองอย่าง RE Engine ที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้นกว่า MT Framework ใช้งานมานาน ซึ่งตัวของ RE Engine นั้นก็ได้ถูกนำมาใช้งานเป็นตัวอย่างให้เราได้เห็นนับตั้งแต่เกม Resident Evil 7: Biohazard เรื่อยมาและทีมงานยังได้ใช้เทคโนโลยีอย่าง Photogrammetry ในการสร้างพื้นผิวของวัตถุต่างๆ ให้ออกมาได้อย่างตรงกับความเป็นจริงอีกด้วย

re village castle

ซึ่งในเกม Resident Evil Village มันก็โชว์ให้เราได้เห็นทัศนียภาพที่แตกต่างไปจากเกมในภาคที่แล้วเป็นอย่างมาก มันมีการนำเสนอฉากภายนอกอาคารที่มากขึ้น สถาปัตยกรรมในเกมมีความโดดเด่นและหลากหลายตั้งแต่ปราสาทในยุคกลาง หมู่บ้านที่ออกแบบโดยอิงจากชนบทในแถบตะวันออกไกลที่ถูกฉาบด้วยสีโทนซีเปียที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมในภาค 4 (อีกแล้ว) ไปจนถึงฉากที่เต็มไปด้วยความแฟนตาซีที่ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านได้ไปสัมผัสกันเอง และเกมเองก็ยังมาพร้อมกับการออกแบบฉาก (Level Design) ต่างๆ ที่ทำได้ลงตัวกว่าเกมภาคก่อนเป็นอย่างมากมันมาพร้อมกับทางหนีทีไล่ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถเอาตัวรอดได้ตลอดเวลาเหมือนกับเกม Resident Evil 2 ฉบับรีเมกแต่ที่มันทำให้ดียิ่งกว่าก็คือมันมาพร้อมกับความกว้างและความหลากหลายที่มากขึ้นกว่าเดิม

เสียงประกอบเองก็ยังเป็นจุดเด่นของเกม Resident Evil นับตั้งแต่เกมในภาค Resident Evil 7: Biohazard เป็นต้นมา เกมมีการสร้างเสียงประกอบในจังหวะที่ถูกต้องในจังหวะที่เกมต้องการให้ผู้เล่นรู้สึกไม่สบายใจจากภัยคุกคามที่อยู่ใกล้ และมีการเปลี่ยนแปลงแบบเป็นพลวัตซึ่งใน Resident Evil Village มันก็ยังทำหน้าที่ตรงส่วนนี้ได้ดีเช่นเดิม แต่ก็แอบมีจุดที่น่าเสียดายตรงที่เสียงจากอาวุธต่างๆ มันน่าจะให้ความรู้สึกที่ดูหนักแน่นกว่านี้

อีกองค์ประกอบหนึ่งของเกมที่กลับมาในภาคนี้ก็คือ The Mercenaries โหมดการเล่นแบบอาร์เคดเก็บแต้มที่ผู้เล่นจะสามารถปลดล็อกมาเล่นได้หลังจบเกมในรอบแรก ซึ่งมันมีการปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นออกไปจากเดิมเล็กน้อย โดยแทนที่มันจะปล่อยให้เราได้เล่นอยู่ในพื้นที่เดียวเหมือนกับเกมในภาคก่อน เกมจะมีการแบ่งเป็น Area ย่อยภายในด่านแทน โดยที่ผู้เล่นจะต้องทำคะแนน (จากการกำจัดศัตรูด้วยรูปแบบต่างๆ ,การเก็บนาฬิกาเพื่อเพิ่มเวลาให้เหลือมากที่สุด) ใน Area ต่างๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลาที่กำหนด ซึ่งคะแนนในแต่ละ Area ก็จะถูกสะสมมาคิดเป็นคะแนนรวมในแต่ละด่านของ The Mercenaries นั่นเอง แต่ถึงแม้มันจะมีการปรับเปลี่ยนไปอย่างที่ผู้เขียนได้อธิบาย และมีการเพิ่มเติมในส่วนของการเก็บสะสมบัฟค่าพลังแบบสุ่มสะสมไปเรื่อยๆ แต่โดยเนื้อแท้ของมันก็ยังคงเป็น The Mecenaries อย่างที่มันเคยเป็นที่ก็ยังเล่นได้สนุกและมีความท้าทายในการไต่ Rank ที่มีของตัวเกมเช่นเดิม

ตลอดจนจบเกมผู้เขียนขอยืนยันอีกครั้งว่า Resident Evil Village ยังคงเป็นเกม Resident Evil ในแบบที่มันเคยเป็นมาตลอด มันมีส่วนผสมของความสยองขวัญที่ถูกผนวกรวมเข้ากับความเป็นไซไฟแบบหนังเกรด B แต่มันก็มีวิธีการเล่าเรื่องที่แตกต่างออกไปที่ในสองภาคหลักล่าสุดของมัน หันมาเน้นความ “ติดดิน” และมีความน่าจะเป็นไปได้ “จริง” มากขึ้น บนตรรกะอันสุดพิลึกพิลั่นเท่าที่ทีมงาน Capcom จะแถออกมาได้ แม้จะมีความเหนือธรรมชาติที่ถูกเสริมเติมแต่งเข้าไปบ้างแต่ก็เป็นเพราะมันคือ Resident Evil ยังไงล่ะ ในอดีตมันคือผู้ปฏิวัติวงการและมันก็เป็นผลงานที่ทาง Capcom ภาคภูมิใจสิ่งต่างๆ พวกเขาไม่คิดหวังในการย้อนกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีต แต่กลับเลือกมองหาวิธีการแก้ไขในอนาคตที่ได้ส่งมอบต่อเนื่องมายัง Resident Evil Village ที่อาจพูดได้เต็มปากว่ามันคือ Resident Evil ภาคที่ดีที่สุด ณ เวลานี้

8/10
Total Score
Share this article
0
Share
0 Share
0 Tweet
0 Share
0 Share
Shareable URL
0
Share