Outline
- การค้นพบเรื่องราวของเมือง Paititi
- ตำนาน Inkarri, ผู้สร้างนครแห่งทองคำ
วางจำหน่ายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ Shadow of the Tomb Raider บทสรุปไตรภาคจุดเริ่มต้น ‘นิยาม’ ใหม่ของ Lara Croft ที่ภาคนี้จะพาเราไปสัมผัสถึงพัฒนา การก้าวผ่าน การเติบโตในด้านตัวตนของเธอ อีกกระทั้งพาเราไปประสบกับ ‘ผล’ จากการกระทำของเธอ ที่กระทบและส่งผลเป็นรูปธรรมในภาคนี้
พักเรื่องตัวตนของเธอไว้ก่อน เพราะยังไงเราคงต้องไปสัมผัสด้วยสองมือ สองตาด้วยตนเอง จึงขอตัดสลับมาพูดถึงเรื่องที่น่าสนใจสำหรับภาคนี้กัน ซึ่ง Shadow of the Tomb Raider จะเกี่ยวข้องกับอารยธรรมทางอเมริกาตอนกลางและอเมริกาตอนใต้อย่าง มายา กับ อินคา ตามลำดับ เช่นเรื่อง Maya Apocalypse หรือ วันสิ้นโลกของชาวมายัน ที่เป็นหัวใจสำคัญของภาคนี้ เธอ – ครอฟผู้ลูก ต้องหยุดยั้งมันให้ได้
แต่ก็มีอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน จากที่เราได้เห็นกันไปแล้วในวิดีโอ Gameplay ความยาวเกือบสิบนาที ในดินแดนที่ห่างไกลความศิวิไลซ์ กลับคงไว้ซึ่งอารยะที่สมบูรณ์ บริสุทธิ์ ไร้สิ่งเจือปน แต่ในความเป็นจริง ยังคงเป็นเมืองในตำนาน ที่ยังรอการค้นพบ อย่าง ‘Paititi’ นครแห่งทองคำที่สาบสูญ
การค้นพบเรื่องราวของเมือง Paititi
ในช่วงปี ค.ศ. 2001 Mario Polia นักโบราณคดีชาวอิตาลีค้นพบบันทึกของมิชชันนารีนาม Andres Lopez ที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยสมาชิกของคณะแห่งพระเยซูเจ้า (Society of Jesus) ในกรุง Rome ซึ่งเป็นข้อมูลในช่วงปี ค.ศ. 1600 โดยมีรายละเอียดที่กล่าวถึงเมืองนี้ว่า
“เป็นเมืองใหญ่ที่คับคั่งไว้ด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางป่าเขตร้อน ชาวพื้นเมืองเรียกขานเมืองนี้ว่า Paititi”
ซึ่งทาง Lopez ก็ไม่ได้ค้นพบเมืองด้วยตาตัวเองแต่อย่างใด ข้อมูลที่เขาได้มาเป็นเพียงข้อมูลจากบุคคลที่สาม และข้อมูลจากปากของชาวพื้นเมืองก็เจาะจงเฉพาะแค่เรื่องเน้นไปยังเรื่องราวของปาฏิหาริย์ปรัมปราเท่านั้น
ซึ่งหลังจากนั้น เรื่องราวของนครแห่งทองคำที่สาบสูญของ Lopez เป็นเรื่องโด่งดังไปทั่ว มีทั้งนักวิชาการ นักสำรวจ รวมไปถึงนักท่องเที่ยว ออกค้นหาเมืองดังกล่าวอย่างไม่ขาดสาย โดยล่าสุดเมื่อปี ค.ศ. 2017 ได้มีการพบซากเมืองเก่า แต่ยังคงไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นเมือง Paititi แต่อย่างใด อีกกระทั้งพวกซึ่งพวกกลุ่มทฤษฎีสมคบคิดแสดงความเห็นไว้ว่าทาง Vatican จงใจเก็บความลับนี้ไว้ด้วยเหตุผลส่วนตัว
Paititi นครที่มีตำนานกล่าวว่าเต็มไปด้วยความพิลาส พิไล หรูหรา เงิน ทอง เพชรนิลจินดา กล่าวกันว่าเมืองนี้ตั้งในทางตอนตะวันออกของเทือกเขา Andes ซ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่ง ในหลืบเขตป่าฝนทางใต้ของประเทศ Peru ตอนเหนือของ Bolivia และทางตอนใต้ของ Brazil ซึ่งเรื่องราวของนครที่สาบสูญนั้นมีความเกี่ยวข้องกับตำนานวีรชนของชนพื้นเมืองอินคาอย่าง Inkarri มีตำนานหลายเรื่องที่พูดถึง Inkarri ในใจความที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งเรื่องที่ว่า Inkarri เป็นผู้สร้างเมือง Cusco เมืองหลวงที่เป็นศูนย์รวมการปกครองของจักรวรรดิตามบัญชาของพระเจ้า ที่น่าแปลกใจคือหลายเรื่องเล่านั้นส่วนใหญ่จะมีหนึ่งจุดร่วมเดียวกันของตำนาน Inkarri คือกล่าวว่า Inkarri เป็นผู้สร้างนคร Paititi
โดยมีหนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจและสอดรับกับข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ได้อย่างแยบยล ซึ่งได้พูดถึงจุดจบของจักรพรรดิ Atahualpa ว่าเป็นบ่อเกิดอีกแห่งตำนาน Inkarri ที่เล่าขานสืบสานกันต่อมา
ตำนาน Inkarri, ผู้สร้างนครแห่งทองคำ
มีเรื่องราวประวัติของ Atahualpa ก่อนการกลายเป็นตำนาน Inkarri มีอยู่ว่า ในช่วงปี ค.ศ.1531 กลุ่มทหาร นักผจญภัย นักสำรวจของประเทศสเปน หรือที่เรียกกว่า ‘กองกิสตาดอร์’ (Spanish Conquistadores) ที่เข้ามาจุ่นจ้านวุ่นวายกับจักรวรรดิ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือยึดครองอาณานิคม ด้วยการนำทัพของ Francisco Pizarro ด้วยทหาร 169 คน และอาชาอีก 69 ตัว ทาง Pizarro นำทัพผ่านเมือง Tumbes เป็นเหตุให้ Pizarro ได้ทราบข่าวว่ามีสงครามกลางเมือง ชิงบัลลังก์ระหว่าง Huáscar กับ Atahualpa ทาง Pizarro เห็นว่าเป็นจังหวะที่ยอดเยี่ยมที่จะเข้าจัดการจักรวรรดิอินคา เนื่องจาก ผลจากสงครามมักส่งผลกระทบต่อสภาพบ้านเมือง และการปกครอง ทำให้เกิดความอ่อนล้าจากภาวะสงคราม เป็นการง่ายที่จะบุกรุก Pizarro จึงร้องขอกำลังเสริมจากทางการสเปน
หลังจากได้กำลังเสริมจากสเปนตามที่ร้องขอไว้ ในปี ค.ศ. 1531 Pizarro จึงนำทัพมุ่งสู่จักรวรรดิอินคา Atahualpa จักรพรรดิคนปัจจุบันในขณะนั้นรับทราบถึงการมาของกองกำลังสเปน จึงได้ส่งคนไปสืบเสาะเรื่องนี้ โดยส่งคนชั้นสูงไป ซึ่งได้เข้าไปอาศัยอยู่ในค่ายพักของกองกำลังสเปน หลังจากเห็นกองกำลังสเปนที่มีอยู่น้อยนิด ทางสายสืบส่งผลการประเมินไปยัง Atahualpa ว่าไม่เป็นอันตรายต่อจักรวรรดิ ที่ตอนนั้นมีทหารในกองทัพถึง 80,000 กอง Atahualpa ชะล่าใจ จึงได้ส่งคำเชิญชวนให้กองกำลังสเปนไปพบปะและเยี่ยมเยียน Atahualpa ที่เมือง Cajamarca เป็นแผนล่อเสือเข้าถ้ำ เพื่อต้องการจับกุมกองกำลังต่างชาติกลุ่มนี้ ทาง Pizarro ก็มีแผนที่จะจัดการกับ Atahualpa ฝ่ายสเปนจึงเล่นตามน้ำไปก่อน
Atahualpa และของทัพของเขาตั้งค่ายอยู่แถวภูเขา รอบนอกตัวเมือง Cajamarca เมื่อกองกำลังสเปนได้เดินทางถึง Cajamarca กลับพบว่าทั้งเมื่อนั้นว่างเปล่า ไร้ผู้คนอยู่อาศัย หากเหลือแต่เพียบหญิงสาวรับใช้ตามวัฒนธรรมของอินคา ที่เรียกว่า Aclla หรือ หญิงสาวที่ถูกเลือก รอต้อนรับเหล่ากองกำลังชายโฉดจากสเปน พวกเธอมีหน้าที่อยู่หลายด้านแตกต่างกันไป ตั้งแต่เป็นสาวรับใช้ ไปจนถึงเป็น ‘แกะ’ น้อยๆ รอคอยวันถูกบูชายัญตามพิธีกรรมสำคัญ จากนั้นทาง Pizarro ได้ส่งทูตเพื่อไปเจรจากับทางอินคา นำโดย Hernando de Soto ทางสเปนได้ไปเจรจาเชิญชวนให้ Atahualpa เข้ามาพบ Pizarro ในเมืองข้างต้น เป็นกลอุบายของ Pizarro เพื่อโน้มน้าวให้ทาง Atahualpa ยอมสวามิภักดิ์ต่อสเปน ที่ซึ่ง Pizarro วางกองกำลังของพวกแอบซ่อนอยู่ในอาคารบ้านเมืองทั้งแถบเพื่อลอบโจมตี Atahualpa ถ้าเจรจากันสำเร็จ ก็ยิ้มแย้มเบิกบานกันไปทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าผลการเจรจาไม่สำเร็จ Pizarro ได้เตรียมทางออกของเรื่องนี้ไว้สองทางคือ ทางแรก เปิดฉากการลอบโจมตีทันที ถ้าประเมินแล้วคิดว่ากองกำลังของฝ่ายอินคาไม่ค่อยแข็งแกร่งสักเท่าไร วิธีที่สอง ถ้ากองกำลังของอีกฝ่ายดูท่าแล้วจะอันตรายเกินไป ให้สงวนท่าทีเป็นมิตรไว้ ซึ่งทาง Atahualpa ตอบรับคำชวนนี้
หลังจากได้รับการเชิญชวน ทาง Atahualpa ได้เดินทางออกจากค่ายพักของตน โดนนำขบวนทหารไปประมาณ 6,000 คน ติดอาวุธด้วยขวานสงครามและห่วงเชือกเหวี่ยงหิน (Sling) มีการกล่าวไว้ว่า Atahualpa หมดสภาพแห่งจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เนื่องจากเมาหัวทิ่มไปตลอดการเดินทาง เพราะดันไปตั้งวงชนแก้วช่วงคืนก่อนออกจากค่าย แค่นั้นยังไม่พอ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งอินคาของพวกเรายังขอเติมเล็กเต็มน้อยตลอดการเดินทางอีกด้วย ก่อนจะสังเกตได้ว่าไม่พบใครอยู่ในเมืองเลย เมื่อมาถึงยังปลายทาง (เพราะไปแอบซุ่มกันในบ้านเรือนละแวกนั้นกันหมด) เหลือเพียงแค่ท่าน Vincente de Valverde – นักบวชนิกายโรมันคาทอลิก กับล่ามอีกหนึ่งคน เท่านั้น
ในการเจรจานั้น Atahualpa ร้องขอให้ทางสเปนถอนกองกำลังออกไปจากจักรวรรดิ ส่วนทาง Valverde กล่าวถึงแค่เรื่องศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก แต่ไม่ได้กล่าวถ้อยคำที่กำหนดให้ผู้พูดนั้น ต้องพูดให้ผู้ฟังเพื่อยอมรับอำนาจของสเปนและยอมรับความเชื่อแบบคริสเตียน ตามที่กำหนดไว้ในปฏิญญา Spanish Requirement of 1513 (จากการกระทำนี้ทำให้ภายหลัง สเปนไม่ยอมรับการกระทำ Pizarro เนื่องจากไม่ไปเป็นไปตามปฏิญญา) จากคำขอของ Atahualpa ที่ต้องการให้สเปนถอนกำลัง Valverde ได้ส่งหนังสือคำสวดไปให้ Atahualpa พิจารณา หลังจาก Atahualpa ดูไปได้เพียงชั่วครู่ อาจจะเกิดจากความโมโหบวกกับความเมามึนกำลังได้ที Atahualpa ถึงขั้นปาหนังสือคำสวดของพระคุณเจ้าลงพื้นทันทีอย่างไม่ไยดี ทาง Valverde เกิดอาการตกใจกลัว วิ่งไปแจ้ง Pizarro ทันที Pizarro จึงได้ส่งสัญญาณให้แก่ทหารที่แอบรอจังหวะอยู่ ออกมาเปิดฉากโจมตีเหล่ากองทัพอินคาที่กำลังสับสนจากการถูกโจมตีที่ไม่ทันได้ตั้งตัว Pizarro ได้เข้าไปจับตัว Atahualpa ผลปรากฏว่าทหารทางสเปนไม่มีผู้ใดเสียชีวิตแม้แต่คนเดียว
หลังจากถูกจับตัวไป ทางสเปนได้เข้าไปถลุงค่ายพักช่วงคราวของ Atahualpa จึงได้พบกับขุมทรัพย์ละลานตา ทั้งเงิน ทอง มรกต Atahualpa สังเกตเห็นว่าเหล่าสเปนสนใจในวัตถุสะท้อนแสงเหล่านี้ จึงเสนอค่าไถ่ในปริมาณอันจะเกินคาดเดามูลค่าของมันได้ คือในปริมาณที่สามารถเติมห้องที่มีขนาดความยาว 6.7 เมตร กว้าง 5.2 เมตร สูง 2.4 เมตรให้เต็มไปด้วยทอง และเงินอีกสองเท่าของขนาดห้องนั้น แต่ผลปรากฏว่าหลังจากเหล่าสเปนได้ค่าไถ่ตามคำเสนอ ก็ไม่มีการปล่อยตัว Atahualpa สู่อิสระแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้นสเปนยังกล่าวหาว่า Atahualpa เป็นผู้สั่งการให้ปลิดชีพพี่ชายของเขาที่มีปัญหาชิงบัลลังก์เกิดเลยเถิดถึงขั้นเป็นสงครามกลางเมื่ออย่าง Huáscar ทางการจึงสั่งให้ลงโทษด้วยการประหารชีวิตแบบเผาทั้งเป็น Atahualpa รู้สึกขวัญเสียเพราะทางความเชื่อของชาวอินคา ถ้าร่างกายถูกไฟเผา ดวงวิญญาณจะไม่ไปสู่สุคติ Vincente จึงใช้โอกาสนี้ เข้าไปโน้มน้าว Atahualpa ว่าถ้าหากยอมเปลี่ยนศาสนาตนเองไปเป็นคาทอลิก Vincente จะไปร้องขอให้เปลี่ยนรูปแบบการประหารจากเผาทั้งเป็น กลายเป็นการใช้ปลอกคอเหล็ก (Garrote) Atahualpa ยินยอม และได้เข้าทำพิธีล้างบาปตามศาสนาคริสต์ อีกทั้งได้รับชื่อใหม่ว่า Francisco Atahualpa หลังจากนั้นถูกประหารชีวิตไปตามระเบียบ ในวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1533
ร่างกายของเขาที่ถูกฝังไว้ใต้ดินจะแหวกว่ายตะกุยตะกายเศษหินดินทราย ผงาดขึ้นมาสู่เหนือน่านธราดล ร่ำร้องเรียกหา ทวงคืนอาณาจักรของข้า ฟื้นคืนความเป็นอันหน้าหนึ่งอันเดียวระหว่าง มารดาแห่งโลกา
เข้าสู่ช่วงตำนาน Inkarri ที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ตามตำนานอ้างว่า ในตอนที่ Atahualpa ถูกจับทรมานและประหารชีวิตนั้น เขาได้ให้คำสาบานไว้ว่าเขาจะกลับมาล้างแค้นคืนสนองในไม่ช้า ในตำนานยังกล่าวอีกว่าพวกสเปนได้แยกชิ้นส่วนของ Atahualpa และแยกกันฝังไว้แต่ละที่ ส่วนศีรษะ ถูกฝั่งไว้ใต้ ‘Presidential Palace’ ในเมือง Lima เมืองหลวงของ Peru ในปัจจุบัน ส่วนแขน ถูกฝั่งไว้ใต้ Waqaypata ในเมือง Cuzco และส่วนขา ฝังไว้ที่เมือง Ayacucho ร่างกายของเขาที่ถูกฝังไว้ใต้ดินจะแหวกว่ายตะกุยตะกายเศษหินดินทราย ผงาดขึ้นมาสู่เหนือน่านธราดล ร่ำร้องเรียกหา ทวงคืนอาณาจักรของข้า ฟื้นคืนความเป็นอันหน้าหนึ่งอันเดียวระหว่าง มารดาแห่งโลกา (Pachamama – เทพธิดาที่เปรียบเสมือนเป็นมารดาของโลกตามความเชื่อของอินคา) กับลูกหลานของอินคาไว้จนสืบไป
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- Jim Dobson. (2016 11 Jan). How the Discovery Of Paititi, The Lost City Of Gold, May Change Peru Forever
- DHWTY. (2015 7 Apr). The Dramatic Life and Death of Atahualpa, the Last Emperor of the Inca Empire
- Mark Cartwright. (2016 17 Mar). Atahualpa.
- Wikipedia.org. (2018 6 Aug). Atahualpa.
- AncientPages.com (2016 16 Mar). Paititi: Legendary Lost Inca City Of Gold Built By The Inca Hero Inkarri.