ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Outriders ผลงานล่าสุดของทีมงาน People Can Fly เป็นเกมที่มอบประสบการณ์การเล่นด้วยความ “เอามันส์” เข้าว่าอย่างเต็มรูปแบบ และเป็นหนึ่งในเกมที่มอบความบันเทิงให้ผู้เขียนสามารถถอดสมองเล่นได้อย่างเต็มอิ่ม มันมาพร้อมกับการยิงต่อสู้สุดระห่ำที่แปลกแยกไปกว่าเกมยิงหลังพิงกำแพงเกมอื่นๆ และยังมาพร้อมกับองค์ประกอบอีกหลายอย่างที่เกมทำออกมาได้เกินความคาดหมาย แต่ก็น่าเสียดายสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้ Outriders กลายเป็นเกมยิงแถวหน้าของวงการได้ในอย่างที่ควรจะเป็น
People Can Fly เป็นทีมงานจากประเทศโปแลนด์ที่มาพร้อมกับแนวคิดในการสร้างเกมของพวกเขาที่แข็งแรงเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ผลงานชิ้นแรกอย่าง Painkiller เกมยิงมุมมองบุคคลที่มาพร้อมกับความมันส์ดั่งนรกแตก ไปจนถึงผลงานเกมยิงตีนถีบที่ไม่ตั้งใจคัลท์อย่าง Bulletstorm แม้เกมทั้งสองอาจจะไม่ประสบความสำเร็จจนเรียกได้ว่าเป็นเกมยิงในตำนาน แต่มันก็ยังคงเป็นสองแฟรนไชส์ที่แฟนๆ ต่างยังรอการกลับมาอยู่แม้กาลเวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานหลายปีแล้วด้วยการที่มันยังคงเป็นเกมยิงที่เน้นความสะใจเข้าว่าแบบไม่ห่วงความหล่อ และสิ่งเหล่านี้จะยังปรากฏให้เราได้เห็นในเกม Outriders แม้อาจจะไม่เทียบเท่า แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้แฟนเกมของ People Can Fly สัมผัสได้ถึงความกวนส้นสุดระห่ำกระหน่ำยิงได้ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว
สิ่งที่ Outriders แตกต่างไปจากผลงานเกมก่อนๆ ของ People Can Fly ก็คือการที่มันได้กลายมาเป็นเกมยิงหลังพิงกำแพง (cover-based) ในรูปแบบมุมมองบุคคลที่สามที่ทีมงานได้รับอานิสงส์มาจากตอนที่ไปช่วย Epic Games พัฒนาเกมภาคแยกของ Gears of War อย่าง Gears of War: Judgment แต่อย่างไรก็ดีตัวเกม Outriders ก็ยังคงเป็นเกมยิงที่มาพร้อมกับสไตล์การเล่นในแบบฉบับของ People Can Fly แม้จะนิยามได้ว่ามันเป็นเกม “looter shooter” ตามสมัยนิยม แต่ทีมงานก็ยืนยันว่าประสบการณ์ในการเล่นของตัวเกมจะจบลงในตัวโดยไม่ต้องรอบริการไลฟ์เซอร์วิสเพื่อช่วยพยุงชีวิตเหมือนเกมเพื่อนบ้าน นั่นเพราะเกมมีเนื้อเรื่องที่อัดแน่นและเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าการจะเป็นเกมมัลติเพลเยอร์ และส่วนเสริมสำหรับการเล่นร่วมกับเพื่อนหลังจบเกมก็ดูเหมือนจะเป็นของแถมที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญมากดั่งที่เกมแนวนี้ควรจะเป็นนัก
มีเกมแนว co-op ทำเหมือนหลายเกมที่เคลมตัวเองว่าเป็นเกมมัลติเพลเยอร์ที่การเล่นร่วมกับเพื่อนจะสร้างประสบการณ์ในการเล่นที่ดีกว่า แต่โดยเนื้อแท้แล้วตัวเกมกลับใช้เนื้อเรื่องเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราว ที่มีตัวละครเอกที่ชัดเจนแตกต่างไปจากเกมที่ออกแบบมาเพื่อเป็นเกมมัลติเพลเยอร์โดยเฉพาะที่มักจะมีเรื่องราวเป็นฉากหลังที่ผู้เล่นต้องไปปะติดปะต่อเรื่องราวกันเอาเอง และ Outriders ก็เป็นเกมในรูปแบบแรกที่มาพร้อมกับเนื้อเรื่องที่เป็นเส้นตรงที่เล่าผ่านตัวละครเอก แม้ผู้เล่นจะสามารถสร้างตัวละครได้เองแต่โดยเนื้อในแล้วมันคือตัวละครเอกของเนื้อเรื่องในโลกเกม Outriders ที่ทีมงานได้จัดสรรเรื่องราวเอาไว้ให้แล้ว และมันก็มาพร้อมกับโหมดการเล่นแคมเปญที่มีเนื้อหาร่วม 20 ชั่วโมงในสไตล์เกมแอ็กชันสวมบทบาทที่มีทั้งเนื้อเรื่องหลักที่ต้องเดินต่อและไซด์เควสพอเป็นกระสัย ที่เป็นมากกว่าการเป็นแค่บทสอนเล่น (tutorial) ดั่งเช่นเกมมัลติเพลเยอร์เกมอื่นๆ แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นพาเพื่อนๆ มาร่วมทำภารกิจไปด้วยกันได้
เรื่องราวใน Outriders เล่าถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่โลกล่มสลายไปแล้ว เหล่ามนุษยชาติที่หลงเหลือจึงต้องออกเดินทางไปยังอวกาศเพื่อหาหนทางในการเอาชีวิตรอด โดยมีความหวังสุดท้ายคือดวงดาวที่ชื่อว่า “อีนอค” (Enoch) ที่เชื่อกันว่ามันคือดวงดาวที่มนุษย์จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และก็เป็นไปตามพล็อตหนังหรือซีรีส์ไซไฟเกรดบี เมื่อเหล่ามนุษย์ได้เดินทางมาถึงดวงดาวอันควรจะเป็นสรวงสวรรค์ มันก็กลับมีสิ่งผิดปกติ (anomaly) ที่ทำให้แผนการไม่เป็นไปดั่งคาด
ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น “เอาต์ไรเดอร์” (Outriders) หนึ่งในนักบุกเบิกที่ได้ลงมายังดวงดาวอีนอค พร้อมกับเหล่าผู้อพยพและนักวิทยาศาสตร์ระลอกแรกที่ลงมาเพื่อเตรียมตั้งถิ่นฐานบนดวงดาว แต่แล้วพวกเขาก็กลับพบกับพายุสายฟ้าและสสารประหลาดจนทำให้แผนการทุกอย่างพังทลาย เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตัวละครเอกของเราต้องหลบไหลไปเป็นเวลา 31 ปี และได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อพบกับดวงดาวอีนอคที่กำลังจะล่มสลายทั้งจากมหันตภัยธรรมชาติปริศนา และสงครามของเหล่าผู้อพยพที่กำลังต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่เหลืออยู่อีกเพียงน้อยนิด และเรื่องราวการกอบกู้ดวงดาวอีนอคและเหล่ามนุษยชาติก็ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยพลังปริศนาที่ตัวละครเอกของผู้เล่นได้รับมาโดยบังเอิญ
ใช้เวลาพินิจพิจารณาไม่นานผู้เขียนเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่แม้ไม่ได้เป็นนักวิจารณ์ภาพยนตร์ ก็คงพอจะเดาไว้ว่าเรื่องราวในเกม Outriders เต็มไปด้วยความเฉิ่มเชย (จนอาจเรียกได้ว่าแย่) ตามสไตล์ของหนังไซไฟทุนต่ำ และก็ต้องบอกว่ามันก็เป็นไปดั่งที่คาด ซึ่งทีมงานผู้สร้างเกมก็ดูเหมือนจะรู้ตัวดีว่าพวกเขาคงไม่อาจแข็งขันในการสร้างเกมไซไฟที่มีเนื้อหาล้ำลึกได้ จึงส่งผลให้เกมถูกขับเคลื่อนไปในทิศทางที่แตกต่างในแบบสุดกู่ แม้เกมจะเล่าเรื่องราวในสไตล์หนังแนวขับรถเที่ยว (roadtrip) ที่จะพาผู้เล่นไปยังสถานที่และเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อหาทางส่งสัญญาณไปยังยานอวกาศที่ยังโคจรอยู่รอบดวงดาวและหาต้นตอของภัยธรรมชาติปริศนา ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแปลกใหม่แต่ทีมงานก็จัดเต็มความกวนตีนในการเล่าเรื่องมาเต็มรูปแบบและ “เหี้ย” (คำชม) จนเหนือความคาดหมายในหลายครั้ง แม้มันจะห่วยแต่ก็เต็มไปด้วยเรื่องราวชวนเหวอจนหลุดขำ และสร้างความบันเทิงได้อย่างเกินคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งในส่วนของเนื้อเรื่องหลังหรือไซด์เควสเองก็ตาม
นอกจากเนื้อเรื่องในเกมที่เกินความคาดหมายแล้ว กลไกการเป็นเกมยิงของ Outriders เองก็ทำออกมาได้เกินคาดเป็นอย่างมาก แม้หน้าฉากของมันจะเป็นเกมยิงพิงกำแพงที่ดูจะเหมือนจะมีดาษดื่นในท้องตลอดที่ถูกปกครองโดยเกม Gears แต่โดยเนื้อแท้แล้วเกมยิงของ Outriders แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งแม้เกมจะมีกลไกสำหรับหลับหลังกำบังแต่เอาเข้าจริงแล้วมันแทบจะไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ผู้เล่นจะต้องมาคอยก้มหลบชิงจังหวะยิงกับศัตรู เพราะกลไกหลัก Outriders มันคือระบบยิงแลกเลือดที่ผู้เล่นจะสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตจากการโจมตีใดๆ ใส่ศัตรูได้ มันจึงทำให้เกมการเล่นส่วนใหญ่ของ Outriders คือการเดินหน้า (หรือถอยหลัง) ยืนยิงแลกกับศัตรูเข้าว่า และเกมยังมาพร้อมกับศัตรูจำนวนมากชนิดที่ว่ามากเท่าที่ศักยภาพของเอนจินเกมจะขนออกมาขยี้ผู้เล่นได้ ซึ่งศัตรูในเกมก็ยังมีความหลากหลายที่มากพอที่จะทำให้การต่อสู้ไม่น่าเบื่อ และยังมีมินิบอสและบอสที่มีท่วงท่าการเคลื่อนไหว (moveset) ที่สร้างความท้าทายให้กับผู้เล่นได้พอประมาณทีเดียว
และสิ่งสร้างความบันเทิงให้กับกลไกการต่อสู้ของเกม Outriders ได้เป็นอย่างมากก็คือความสามารถพิเศษของตัวละคร โดยในเกม Outriders ตัวเกมจะมีคลาส 4 คลาสให้ผู้เล่นได้เลือกรับบท ได้แก่ Devastator คลาสสายแทงค์ที่เน้นการต่อสู้ระยะประชิด Pyromancer นักร่ายเวทย์เพลิงสายต่อสู้ระยะกลาง Technomancer คลาสโจมตีพิสัยไกลที่มาพร้อมกับความสามารถในการฟื้นฟูพลังชีวิต และ Trickster คลาสสายมือสังหารที่เน้นการต่อสู้แบบเข้าปะทะและวิ่งหนี โดยที่แต่ละคลาสก็จะมาพร้อมสกิลความสามารถพิเศษมากมายที่ผู้เล่นสามารถเลือกนำมาใช้งานได้สามสกิล และยังมาพร้อมกับผังการปั้นสายตัวละครที่แยกออกเป็นสามสายเพื่อให้ผู้เล่นสามารถปั้นตัวละครให้มีรูปแบบการเล่นที่เข้ากับตัวเองได้อีกด้วย
ตัวอย่างเช่นคลาส Pyromancer ที่ผู้เขียนเล่นจะเป็นตัวละครสำหรับสร้างความเสียหายให้กับศัตรูเป็นหลัก จากสกิลต่างๆ เช่นการปล่อยคลื่นความร้อนไปเป็นเส้นตรงไปตามพื้น หรือการสร้างระเบิดภูเขาไฟเพื่อสร้างความเสียหายในวงกว้าง แต่ผู้เขียนก็สามารถเลือกที่จะปั้นให้ตัวละครมีความสามารถเพียงพอที่จะยืนแทงค์ด้วยตัวเองก็ได้ ด้วยการเลือกอัปเกรดในสาย Fire Storm ที่จะมีทักษะประเภทพาสซีฟที่จะช่วยให้พลังชีวิตและอัตราการฟื้นฟูร่างกายดีกว่าสายอื่นๆ โดยที่สกิลเหล่านี้ยังได้รับความสามารถที่เพิ่มมากขึ้นจากเครื่องแต่งกายและอาวุธที่มีลำดับขั้นความหายากตามแบบฉบับของเกม “looter shooter” ที่มีความหลากหลาย ที่ช่วยให้การปั้นตัวละครมีความสนุกอยู่พอสมควรทีเดียว และเกมยังมีระบบการคราฟต์ของและอัปเกรดที่ทำให้ผู้เล่นสามารถสร้างเครื่องแต่งกายหรืออาวุธที่มีพลังตามต้องการได้ง่ายอยู่พอสมควรอีกด้วย
อย่างไรก็ดีแม้คลาสทั้งสี่จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน แต่ Outriders ก็ยังคงประสบปัญหาเช่นเดียวกับเกมยิง looter shooter เกมอื่นๆ ที่ตัวละครที่เก่งและมีประโยชน์มากที่สุดยังคงเป็นตัวละครสายการสร้างความเสียหาย (DPS) เป็นหลัก และการเล่นแบบมัลติเพลเยอร์ระหว่างผู้เล่นด้วยกัน หากไม่ใช่เนื้อหาในส่วนหลังเกมจบมันก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องพึ่งบทบาทการเป็นแทงค์และเป็นฮีลเลอร์มากนัก และน่าเสียดายที่เกมมีเลเวลและแต้มสกิลที่จำกัดจนทำให้แนวทางการปั้นตัวละครลดความหลากหลายไปอยู่พอสมควร ซึ่งส่งผลทำให้ผู้เล่นไม่สามารถผสมผสานการอัปเกรดระหว่างสายได้ และเหมือนเป็นการบีบบังคับให้ผู้เล่นต้องเลือกอัปเกรดไปตามสายการเล่นหลักทั้งสามเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นแนวทางการเล่นของตัวละครสาย DPS ก็ถือว่ามีความหลากหลายอยู่พอสมควร โดยผู้เล่นอาจจะเลือกเล่นในแนวทางที่เน้นการสร้างความเสียหายโดยอาวุธปืนเป็นหลัก หรือจะใช้พลังพิเศษเพียงอย่างเดียวก็ได้ และศัตรูในเกมเองก็ยังมีความหลากหลาย ทั้งตัวที่โจมตีทั้งระยะใกล้ ระยะไกลที่ทำให้ผู้เล่นสามารถแบ่งสรรค์การทำหน้าที่เป็นทีมได้แม้ทุกคนจะเล่นตัวละครสายโจมตีเพื่อสร้างความเสียหายเป็นหลักทั้งหมดก็ตาม
ด้วยการที่เกมเล่าเรื่องราวในสไตล์โรดทริปที่จะพาผู้เล่นไปยังสถานที่ต่างๆ มันก็ทำให้เกมมีการออกแบบฉากที่มีความหลากหลายอยู่พอสมควร ที่มีตั้งแต่สนามเพลาะที่คล้ายคลึงกับฉากสงครามโลก ฉากป่าเขาอันเขียวชอุ่ม ฉากชุมชนสลัมที่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างชั่วคราว ฉากภูเขาหิมะอันหนาวเหน็บ ไปจนถึงฉากวิหารโบราณของเหล่าเอเลี่ยน ซึ่งก็เรียกได้ว่าเกมใช้ศักยภาพของ Unreal Engine 4 อย่างเต็มที่ โดยที่ฉากแต่ละฉากจะเป็นฉากที่มีความเป็นเส้นตรงที่ถูกเชื่อมเข้าหากันเป็นฉากที่มีขนาดพอประมาณในการที่จะเป็นฉากสำหรับเกมแนวสวมบทบาท แต่ก็น่าเสียดายแม้เกมจะมีความหลากหลายทางทัศนียภาพแต่มันก็ขาดความโดดเด่นทางด้านการออกแบบจนบางทีก็ทำให้แยกจากเกมอื่นๆ ได้ยาก แม้กระทั่งในตัวเกมเองที่ศัตรูระดับบอสบางตัวก็ยังดูแทบไม่ว่ามันเป็นศัตรูประเภทไหนกันแน่
และสิ่งที่ทำให้เกม Outriders ไม่สามารถเป็นเกมแถวหน้าได้อย่างที่ควรจะเป็นก็ไม่ใช่เพียงแค่เนื้อเรื่องเพียงอย่างเดียว แม้เกมจะมีระบบการยิงต่อสู้ที่สนุก แต่ส่วนประกอบที่ช่วยเสริมคุณภาพชีวิตของมันกลับทำออกมาได้อย่างย่ำแย่ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าเมนูเพื่อทำการปรับแต่งตัวละครที่มีความอืดอาด แม้จะเป็นองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ แต่มันคือสิ่งที่อยู่ติดตัวกับผู้เล่นแทบจะตลอดเวลาและพร้อมสร้างความน่ารำคาญได้
ซึ่งรวมไปถึงระบบแผนที่และการนำทางที่เรียกได้ว่าเลวร้าย และประสบปัญหาจากบั๊กอยู่บ่อยครั้งที่ตัวระบบนำทางมักไม่พาผู้เล่นไปยังจุดหมายที่กำหนด ปล่อยให้ผู้เล่นต้องเดาสุ่มทางกันเอาเอง ระบบการโหลดฉากที่ดูประหลาดจนน่าขันที่มาจากความอ่อนประสบการณ์ของทีมงานในการสร้างเกมมัลติเพลเยอร์ ที่ยังทำให้สมดุลระหว่างคลาสของเกมยังไม่ดีพอที่จะยืนระยะเป็นเกม looter shooter ในระยะยาวได้ (ซึ่งก็เป็นดั่งที่ทีมงานได้ตั้งใจไว้)
ยังไม่รวมไปถึงระบบเสียงในเกมที่อุดอู้ไม่เสนาะหู มันเต็มไปด้วยความวุ่นวายจนไม่สามารถหาแหล่งกำเนิดเสียงได้ ทั้งยังแตกพร่าไม่ว่าจะปรับตั้งระบบเสียงอย่างไรก็ตาม จนทำให้เพลงประกอบของ ไอนอน เซอร์ (Inon Zur) ที่ควรจะดีกลับกลายเป็นสร้างความรำคาญให้กับผู้เล่นไปเสียอย่างนั้น ยังไม่รวมไปถึงบั๊กจิปาถะที่สามารถพบเจอได้เรื่อยๆ และความเสถียรของระบบมัลติเพลเยอร์ที่ใช้การเชื่อมต่อแบบ peer-to-peer ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้
ซึ่งอันที่จริงแล้ว Outriders จะเป็นเกมที่ดีกว่านี้หากมันเป็นเกมเล่นเดี่ยวที่ทีมงาน People Can Fly เชี่ยวชาญ เพราะกว่าการเล่นเป็นทีมแบบมัลติเพลเยอร์จะเปล่งประกายออกมามันก็ต้องรอจนถึงเนื้อหาหลังจากผู้เล่นจบแคมเปญเนื้อเรื่อง ซึ่งเกมจะใช้ระบบการเล่นภารกิจที่เป็นเนื้อเรื่องต่อจากฉากจบที่ชื่อว่า “Expeditions” มาให้ผู้เล่นได้เล่น ที่มีระบบการเล่นจะคล้ายกับเกม Payday ที่ผู้เล่นจะได้เลือกเล่นภารกิจต่างๆ ที่เกมสุ่มวนมาให้เลือกเรื่อยๆ ซึ่งมันจะเป็นฉากที่เกมสร้างขึ้นใหม่โดยอิงกับสถานที่ต่างๆ ในแคมเปญเนื้อเรื่องที่มีอยู่ราวสิบกว่าภารกิจ ที่ผู้เล่นจะต้องไต่ระดับความยากของโลกเกม (World Tier) ขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งผู้เล่นไต่ระดับความยากขึ้นไปได้มากเท่าไหร่ เกมก็จะมอบของรางวัลที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยเกมมีความยากทั้งหมด 15 ระดับที่ผู้เล่นจะต้องฟันฝ่าไต่ขึ้นไปเพื่อเข้าถึงฉากสุดท้ายของเกมที่ชื่อว่า Eye of the Storm ที่จะเป็นการจบเกมอย่างแท้จริง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเล่นก็ได้เพราะมันแทบจะไม่ได้มอบเรื่องราวเพิ่มเติมแต่อย่างใด
แต่ถึงแม้ Expeditions จะมีรูปแบบการเล่นเหมือนกับเกม co-op อื่นๆ ในท้องตลาด แต่นั่นคือสิ่งที่ทำให้มันไม่สนุกอย่างที่ควรจะเป็น โดยแผนที่ภารกิจในโหมดนี้มันเป็นแผนที่ที่มีองค์ประกอบเหมือนเดิมทุกครั้งที่เล่น โดยที่แทบจะไม่มีความแตกต่างใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทาง ศัตรู หรือรูปแบบภารกิจ และมันยังออกแบบมาเป็นเส้นตรงจนทำให้ทุกแผนที่มีรูปแบบการเล่นแทบจะเหมือนกันทั้งหมดนั่นคือการกำจัดศัตรูให้หมด และเดินหน้าไปตามฉากเรื่อยๆ เพื่อทำเวลาให้ดีที่สุด ซึ่งการทำเวลาที่ดีจะส่งผลต่อของรางวัลที่ได้ มันจึงเหมือนเป็นการบีบบังคับทำให้กลยุทธ์ที่ดีที่สุดเล่นก็คือการสร้างตัวละครที่โจมตีได้เร็วและแรงที่สุด และการเล่นแบบ Solo ในโหมดนี้มันยังไม่ชวนสนุกอีกด้วย เพราะเกมจะทวีความยากในแต่ละระดับขั้นจนมากเกินไปเพื่อบังคับให้ผู้เล่นฟาร์มด่านเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา และมันยังมีบทลงโทษที่สาหัสที่หากผู้เล่นตายในภารกิจ Expeditions เกมจะไม่มอบรางวัลใดๆ ให้กับผู้เล่นเลย
แต่อย่างไรก็ดีโหมดการเล่นแคมเปญเนื้อเรื่องของ Outriders ก็ถือว่ามอบประสบการณ์ในการเล่นได้อย่างเต็มอิ่ม ซึ่งหากมันเป็นเกมเล่นเดี่ยวแบบเต็มตัวมันก็อาจจะทำออกมาได้ดีกว่านี้ มันเปรียบเสมือนการนั่งดูหนังห่วยๆ ในดวงใจที่ยังคงสร้างความบันเทิงได้แบบไม่ต้องคิดมาก แม้จะมีปัญหาจุกจิกที่น่ากวนใจไปบ้าง และก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทีมงาน People Can Fly คิดถูกแล้วที่ไม่ทำเกมของพวกเขาให้กลายเป็นเกมไลฟ์เซอร์วิสที่มีอยู่เต็มท้องตลาดที่กำลังกัดกินความคิดสร้างสรรค์ของนักพัฒนา ซึ่งจริงๆ แล้วก็ต้องบอกว่าเกม Outriders ค่อนข้างสนุกเกินกว่าคะแนนที่ได้รับไปมาก และก็ดีแล้วที่มันเป็นเกมที่พร้อมจะตายไปอย่างฮีโร่ดีกว่าทนอยู่จนวันหนึ่งกลายเป็นตัวร้ายที่ไม่มีใครแคร์อีกต่อไป