หลังจากเราได้พูดถึงเรื่องราวของแฟชั่นภายในเกมที่มีแนวคิด เอกลักษณ์และเรื่องราวเบื้องหลังอันหลากหลาย ซึ่งเป็นอีกสิ่งที่ CD Projekt Red ใช้เป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องใน Cyberpunk 2077 เมือง Night City ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญไม่แพ้แฟชั่นในเกมเช่นกัน เมือง Night City ไม่ต่างอะไรกับตัวละครอีกตัวภายในเกม จากคำกล่าวของคุณ Marthe Jonkers ผู้ประสานงานฝ่ายศิลป์สื่อวิสัย กล่าวไว้ว่า
เมืองนี้เป็นหัวใจที่สำคัญของ Cyberpunk 2077
การสร้างเมือง Night City
เธอกล่าวว่าในการสร้างเมืองนี้ขึ้นมาในเกม เธอและทีมงานต้องเก็บรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน ยิ่งไปว่านั้น ยังมีนักวางผังเมืองอยู่ในทีม เพื่อช่วยสร้างเมืองให้สมจริงมากยิ่งขึ้น โดยแผนที่มีความแตกต่างจากเกมก่อน คือ The Witcher “พวกเรามีทางเลือกของการสำรวจในแนวดิ่ง ที่เราไม่มีใน The Witcher ซึ่งในเกมนั้นจะเป็นแผนที่กว้าง ๆ มากกว่า” คุณ Jonkers กล่าว “เราใช้มันเป็นโอกาส และเรามีหลายเส้นทางทั้งขึ้นบนและลงล่าง”
ถึงเมือง Night City จะมีขนาดมหึมาก็จริง แต่ทางทีมพัฒนาให้ความสำคัญกับรายละเอียดมากกว่าขนาดของเมือง เมืองล้วนมีสิ่งที่น่าสนใจให้สำรวจ “มีอะไรมากมายให้สำรวจ แต่เราจะไม่สร้างแต่ตึกโล่ง ๆ หรอกนะ เราแน่ใจว่าไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน คุณจะได้รับคุณภาพเต็มเปี่ยมของการสำรวจ เราแน่ใจว่าเกือบทุกหัวมุมมันจะมีสิ่งที่น่าสนใจ เวลาคุณอยู่ที่ไหนสักแห่ง คุณสามารถเห็นอีกสิ่งที่น่าสนใจ” โดยคุณ Jonkers เปรียบว่าการออกแบบเมืองให้มีอะไรที่น่าสนใจ มันเหมือนปริศนาที่พวกเขาต้องแก้ เมื่อผู้เล่นนึกถึงเมือง Night City ก็เหมือนปริศนาที่ทีมพัฒนาต้องมาแก้ด้วยการสร้างแต่สิ่งที่น่าสนใจและไม่ซ้ำซาก โดยในเมือง Night City มีทั้งหมดหกเขต แต่ละเขตก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ทั้งบรรยากาศและอารมณ์ของสถานที่
แต่ละเขตก็มีผู้คนที่แตกต่างกันและเรื่องราวเบื้องหลังเป็นของตัวเอง
เอกลักษณ์ของแต่ละเขต
เขต Watson เป็นเขตที่มีชีวิตชีวา มีผู้คนอยู่มากมาย ตึกที่รายล้อมอยู่ก็เคยเป็นสำนักงานใหญ่ของเหล่าองค์กรชั้นนำ ซึ่งเริ่มทรุดโทรมแล้ว และเต็มไปด้วยผู้คนแออัด โดยเขต Watson ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของคนเอเชีย
เขต Pacifica เต็มไปด้วยตึกร้างตลอดชายฝั่ง ตึกดังกล่าวคือรีสอร์ตที่สร้างไม่เสร็จแล้วถูกทิ้งงาน ซึ่งกลายเป็นบ้านของเหล่ากลุ่มอาชญากรรม Voodoo Boy และผู้คนที่อพยพมาจากเขต Haiti สาเหตุจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ
เขต City Center เป็นเขตที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้า ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ขององค์กรต่าง ๆ ในเมือง Night City ผู้เล่นสามารถพบเจอตัวละครอย่างเช่น Meredith Stout ที่เราเห็นในวิดีโอตัวทดลองตัวแรกของเกมนี้
เขต Heywood เป็นเขตที่แตกต่างจากเขตอื่นโดยสิ้นเชิง เขตนี้ได้รับอิทธิพลมาจากลาตินอเมริกา ซึ่งในเขตนี้มีกลุ่มผู้ทรงอิทธิพลควบคุมอยู่ ฉะนั้นการไปไหนมาไหนในพื้นที่นี้จึงเป็นเรื่องอันตราย แต่ก็ไม่ได้แย่ไปเสียหมด ต้องขอบคุณความคับคั่งของเศรษฐกิจในเมืองนี้ จึงทำให้เขต Heywood เป็นเขตที่มีชีวิตชีวามากที่สุดในเมือง Night City
เขต Westbrook เป็นเขตที่เต็มไปด้วยคนรวย ผู้เล่นจะเห็นแฟชั่นแนว NeoKitsch เป็นแฟชั่นใหม่ที่เพิ่งก่อตัวก่อนปี 2077 มาไม่กี่ปี ซึ่งเกิดจากช่องว่างระหว่างชนชั้น เราจะเห็นสีสัน ความแพง ของแฟชั่นแนวนี้ ไม่ว่าการเลือกใช้วัสดุแพง ๆ อย่างวัสดุที่มาจากธรรมชาติ เช่น ลายหนังสัตว์ แน่นอนเพียงเพราะพวกเขารวยนั้นเอง
และเขตสุดท้าย เขต Santo Domingo เป็นเขตอุตสาหกรรมและมีโรงงานไฟฟ้า ผลิตไฟให้ทั่วทุกเขตได้ใช้กัน ซึ่งเป็นพื้นที่เต็มไปด้วยอันตรายที่แตกต่างจากเขตอื่น “ในเขต Watson ถ้าคุณเดินริมถนนในตอนกลางคืน คุณอาจจะเจอพวกกลุ่มอาชญากรรมเล่นงานคุณ แต่ใน Santo Domingo โดยเฉพาะพื้นที่โรงงาน มันอันตรายมาก เพราะมันเต็มไปด้วยมลพิษ”
เมืองแห่งความเหลื่อมล้ำ
จากความเป็นอยู่อาศัยของคนในแต่ละเขตที่เป็นผลกระทบมาจากหลายปัจจัย เมือง Night City จึงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นซึ่งมีความรุนแรงในระดับขีดสุด ฝั่งตัวในทุกตารางนิ้ว และแสดงออกมาในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม อย่างที่เราเห็นเช่นเรื่องแฟชั่นซึ่งเคยกล่าวไปก่อนหน้านี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการแสดงออกถึงการกดทับทางชนชั้นอย่างชัดเจน ทั้งแฟชั่นของคนจน พวกนักธุรกิจ หรือพวกคนรวยมีอันจะกิน สิ่งดังกล่าวในเมือง Night City ล้วนหล่อหลอมให้เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมไปโดยปริยาย อย่างที่คุณ Jonkers กล่าวปิดท้าย
นี้เป็นสิ่งที่ทั้งเมืองเกี่ยวข้อง ทุกความตึงเครียดระหว่างผู้คนที่มีอำนาจ