Cyberpunk เป็นแนวที่ได้รับความนิยมขึ้นมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาพยนตร์, อนิเมะ หรือวิดีโอเกม จากยุคก่อนได้รับความนิยมเฉพาะวงแคบเท่านั้น ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับการนำมาใช้เล่าเรื่องราว โดยเฉพาะประเด็นช่องว่างระหว่างชั้นชน ผสมผสานกับเรื่องราวของเทคโนโลยีใกล้ตัวเราต่ออนาคตที่ออกมาในรูปแบบ ‘มุมกลับ’ จากสิ่งที่เราเห็น ณ ปัจจุบัน โดย CD Projekt Red ได้นำองค์ประกอบของแนวดังกล่าวมาใช้เล่าเรื่องราวในโลกได้อย่างน่าสนใจ ผ่านมุมมองของแฟชั่น
คุณ Marthe Jonkers ผู้ประสานงานฝ่ายศิลป์สื่อวิสัย กล่าวถึงเรื่องราวของเธอและทีมงานในการออกแบบงานศิลป์สำหรับเกม Cyberpunk 2077 ซึ่งเธอกล่าวว่าช่วงเวลาระหว่างปี 2020 จากตัวเกมฉบับ tabletop จนถึงปี 2077 ในช่องว่างระยะเวลา 57 ปีดังกล่าว มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่มากมายและส่งผลกระทบต่อเมือง Night City ปี 2077 ในด้านแฟชั่น ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม การแต่งตัว ไปจนถึงยานพาหนะและอาวุธ ซึ่งเธอได้ใช้เป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องราวเบื้องหลังของโลกใน Cyberpunk 2077
ให้แฟชั่นเล่าเรื่อง
เธอและทีมงานต้องศึกษาเรื่องราวของ Cyberpunk 2020 ซึ่งเป็นตัวเกม tabletop รวมถึงการศึกษาแนว cyberpunk ที่ปรากฏสื่อรูปแบบอื่นควบคู่กันไป “ทีมของเราดูหนังแนว cyberpunk เกือบทุกเรื่องที่มีอยู่ เราอ่านหนังสือ เรารู้ว่าเรามีทุกเรื่องเหล่านี้อยู่ในหัวเรา” เธอกล่าวเพิ่มเติม “เรารู้เรื่องราวทั้งหมดของจักรวาล Cyberpunk แต่เราต้องการสร้างสักสิ่งที่สดใหม่”
แนว cyberpunk ในเรื่องอื่น มักได้อิทธิพลมาจากวัฒนธรรมจากหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแนวนี้จนชินตา และในขณะที่เรื่องอื่นมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองโตเกียวหรือเมืองอื่นในทางเอเชีย แต่ Cyberpunk 2077 เกิดในชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมไปถึงไม่ได้เน้น ‘กลางคืนและฝนตก’ อย่างที่เรื่องอื่นทำจนเป็นธรรมเนียมของแนวนี้ “เมื่อเราแสดงตัวทดลองเมื่อปีก่อน คนประหลาดใจกันยกใหญ่ ที่เกมมันมีแดดจ้ามาก” คุณ Jonkers กล่าว “พวกเขาหวังไว้ว่ามันจะเป็น cyberpunk ที่มีฝนตกและมืดมน แต่คุณสามารถสร้างเมือง cyberpunk ในรัฐแคลิฟอร์เนียได้นะ ก็จริงอยู่ว่ามีฝนตกในเกมเพราะเรามีระบบสภาพอากาศ และจะมีช่วงกลางคืนเช่นกัน แต่เราพยายามใส่ความสดใหม่ให้กับแนว cyberpunk”
ซึ่งทีมงานสังเกตว่าเมืองในจักรวาล Cyberpunk มีการผสมผสานระหว่างยุคสมัยนิยมของแฟชั่นหลายรูปแบบที่เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อ 57 ปี ทาง CD Projekt Red กำหนดยุคไว้สี่ยุคหลัก ได้แก่ Kitsch, Entropism, Neomilitarism และ NeoKitsch
Entropism เป็นยุคสมัยนิยมของแฟชั่นที่เกิดขึ้นในช่วงโลกถูกปกคลุมไปด้วยภาวะความจน ผู้คนต่างอดอยาก ใช้ชีวิตลำบากยากแค้น ฉะนั้น Entropism จึงไม่ค่อยมีสีสันฉูดฉาด เน้นการใช้งานมากกว่าความสวยงาม ถ้าคุณเห็นยานพาหนะที่แสนจืดชืดและเทอะทะหรือตึกที่ไม่ค่อยเตะตา เป็นเพราะว่าถูกสร้างในยุค Entropism
ยุค Kitsch “ความเก๋ไก๋มากกว่าแก่นแท้”Kitsch เป็นยุคที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ผู้คนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ผู้ขึ้นจึงแต่งองค์ทรงเครื่องได้มากกว่ายุคก่อน แฟชั่นในยุคนี้จึงเป็นการพัฒนาทางด้านความสวยงามและสีสัน
Neomilitarism เป็นยุครุ่งเรืองและทรงอำนาจของพวกองค์กรใหญ่ในโลก Cyberpunk แฟชั่นในยุคนี้จึงเน้นไปในทางความมันวาวและลื่นไหล ใช้สีดำเป็นหลัก โดยเหล็กกลายเป็นวัสดุที่ใช้กันทั่วไป
NeoKitsch เป็นยุคที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ใน Cyberpunk 2077 โดยช่องว่างระหว่างชนชั้นขยายตัวมากขึ้น พวกคนรวยหมกมุ่นอยู่กับการอวดรวย แฟชั่นในยุคนี้จึงเป็นความหรูหรา อู้ฟู เป็นหลัก
ยุคสมัยนิยมของแฟชั่นจึงเป็นการเล่าเรื่องของโลกไปในตัว คุณอาจเจอตึกที่มีสีชมพูกับขอบบาง ๆ และหน้าต่างมีความนุ่มนวล คุณรู้ว่ามันเป็นแนว Kitsch และคุณจะรู้ต่อไปอีกว่าตึกถูกสร้างในช่วงนี้ผู้คนเริ่มมีเงินมากขึ้น เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเบื้องลึกเบื้องหลังของเมือง
มันเป็นเรื่องที่สำคัญกับเรามากนะ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับ Cyberpunk ฉันชอบเวลาคนเห็นภาพนิ่งของเกมเรา แล้วจำได้ว่าเป็นแนวทางของเรา
ให้เรื่องราวเบื้องหลังเล่าเรื่อง
นอกจากการใช้ยุคสมัยนิยมของแฟชั่นเพื่อเล่าเรื่องแล้ว เรื่องราวเบื้องหลังของแต่ละพื้นที่ก็มีความพิเศษแตกต่างกันไป ซึ่งส่งผลมาจากเรื่องราวในพื้นที่นั้น ๆ โดยมีการแบ่งเป็น 6 เขต และแน่นอนว่ามีการผสมผสานระหว่างยุคสมัยทั้งสี่แบบ ยกตัวอย่างเช่น เขต Pacifica ที่มีความตั้งใจเดิมที่ต้องการให้เป็นพื้นที่รีสอร์ต แต่ปัจจุบันเต็มไปด้วยตึกร้างตลอดชายฝั่ง ตึกดังกล่าวคือรีสอร์ตที่สร้างไม่เสร็จแล้วถูกทิ้งงาน ในขณะเดียวกัน ภัยพิบัติทางธรรมชาติทำให้ผู้คนในเขต Haiti ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ จึงอพยพมายัง Night City ลงหลักปักฐานในเขต Pacifica เราจะได้เห็นวัฒนธรรมที่มาพร้อมกับชาว Haitian ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคืองานกราฟฟิตี้รอบพื้นที่
“ทุกเขตมีเรื่องราวของผู้คนที่อาศัยอยู่และเหตุผล [ในการใช้ชีวิตอยู่ในนั้น] และจากนั้นเราเพิ่มความลึกสำหรับภาษาภาพของพวกเขา เพื่อจะแสดงให้คุณเห็นถึงความลึกของเรื่องราวเบื้องหลังในเขตนี้” คุณ Jonkers อธิบายเพิ่มเติม “ฉะนั้น ใน Pacifica คุณจะเห็นงานศิลป์หลายอย่างที่เชื่อมโยงกับเหล่า Voodoo Boy กลุ่มอาชญากรรมที่ควบคุมพื้นที่อยู่ และมันเจ๋งมาก ๆ เพราะเวลาคุณขับรถรอบเมืองและคุณเห็นงานศิลป์หลายแนว คุณจะจำแนกประเภทผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นได้ หรือกลุ่มอาชญากรรมที่ควบคุมพื้นที่นั้น ๆ อยู่”
การเล่าเรื่องเป็นหัวใจสำคัญของ CD Projekt Red
แม้มีคำถามว่า พวกเขาต้องทำถึงขั้นนี้เลยหรือ แม้ผู้เล่นบางคนอาจจะต้องการจดจ่ออยู่กับระบบการต่อสู้ในเกมเท่านั้น ไม่ได้สนใจว่าเป็นแฟชั่นที่มาจากยุคสมัยใด คุณ Jonkers กล่าว “นี้คือสิ่งที่พวกเราทำ เราชอบการเล่าเรื่อง เราชอบเล่าเรื่องที่แสนลีกซึ้ง และเรามักสร้างเกมแนวโลกเปิด มันคือสิ่งที่เรารัก เราจึงพยายามผลักดันมันในเกมนี้” และเขากล่าวปิดท้ายว่า
ถ้าคุณจะสำรวจใน Night City เรามั่นใจเลยว่ามันจะเต็มไปด้วยเรื่องราวให้คุณเสาะหาแน่นอน