ครั้งหนึ่งวงการเกมไม่ว่าจะทั้งบนเครื่องคอนโซลและ PC มักจะถูกขับเคลื่อนด้วยการปะทะกันของสองเกมยิงแห่งยุค เริ่มตั้งแต่การมาสองเกมยิงอย่าง Quake และ Unreal Tournament ที่ปัจจุบันก็ล้มหายตายจากกลายเป็นเพียงแค่ไม้ประดับในวงการไปเป็นที่เรียบร้อย มาจนถึงยุคถัดมากับการปะทะของ Call of Duty และ Battlefield ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี กาลเวลาของการต่อสู้กันของทั้งสองแฟรนไชส์ผ่านเนิ่นนานมากว่าทศวรรษ ไปพร้อมกับแวดวงอุตสาหกรรมเกมที่เติบโตและก้าวหน้าขึ้นทุกวัน บางทีในที่สุดเราก็อาจจะเห็นเค้าลางแล้วในปีนี้ ว่าอนาคตของเกมยิงทั้งสอง มันจะจบลงอย่างไร
ข้อมูลเบื้องต้น
- ผู้พัฒนา: EA DICE
- ผู้ผลิต: Electronic Arts
- วันวางจำหน่าย: 20 พฤศจิกายน 201
- เครื่องเกมที่ออกวางจำหน่าย: PlayStation 4, Xbox One และ PC (Origin)
World War II
Battlefield คือซีรีส์เกมยิงที่เน้นหนักไปที่การรบในฉากที่กว้างใหญ่อันเป็นจุดเด่นที่ทำให้พวกเขาอยู่เหนือคู่แข่งคนอื่นๆ ในท้องตลาด ด้วยจำนวนผู้เล่นถึง 64 คน พร้อมด้วยระบบอาวุธยุทธภัณฑ์และยานพาหนะอันมากมาย ตามแต่ยุคสมัยของเกมแต่ละภาค นับตั้งแต่ที่ได้เปิดตัวครั้งแรกให้โลกรู้จักด้วยการนำเสนอ โลกเกมในธีมสงครามโลกครั้งที่สองตามสมัยนิยมในช่วงเวลานั้น เรื่อยมาจนถึงสมรภูมิเวียดนาม ไปยันการรบในตะวันออกกลางในยุคปัจจุบัน จนไปถึงโลกอนาคตในปี 2142 และกลับมาสานต่อการรบในรูปแบบทางการทหารในยุคปัจจุบันทั้งภาค 3 และ 4 สิ้นสุดภาคล่าสุดกับการพาเราย้อนกลับไปยังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในที่สุด Battlefield V ก็ได้กลับมาสานต่อเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกครั้งพร้อมมุมมองที่แตกต่างในสมรภูมิรบ ที่เราไม่เคยได้เห็น
Battlefield V ก็ยังคงคอนเซปต์ของการเป็นเกม Battlefield เหมือนเช่นที่ผ่านมา และมันก็ออกวางจำหน่ายหลัง Battlefield 1 ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว แน่นอนว่ามันคงเต็มไปด้วยสิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้ซีรีส์ Battlefield น่าสนใจยิ่งขึ้นกว่าเดิมในฐานะของการเป็นเกมใหม่ที่ยกระบบเดิมมาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น มันควรจะเป็นเช่นนั้น จนกระทั่งหลังจากที่ผู้เขียนได้สัมผัสเกมมาหลายชั่วโมง ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมทางทีมพัฒนา DICE ถึงจำต้องเข็นเกมๆ นี้ออกมาสู่ท้องตลาดในเวลานี้ ตลอดที่ผ่านมาเรามักเห็นการพัฒนาที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นเกมภาคต่อที่ออกห่างจากภาคก่อนหน้าไม่นาน
และ Battlefield 1 ที่ออกวางจำหน่ายไปเมื่อปี 2016 ก็ไม่ใช่ Battlefield ที่แย่ แม้มันจะนำเสนอโลกเกมที่เราไม่คุ้นด้วยธีมยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่สิ่งที่ตัวผู้เขียนสัมผัสได้จาก Battlefield V มันไม่ใช่แค่การนำเอาเกมเก่ามาขายใหม่ในเวลาอันรวดเร็วเท่านั้น แต่มันคือการถอยหลังลงคลองของการเป็นภาคต่อ ที่มาพร้อมกับหลายสิ่งอย่างที่เราล้วนไม่ต้องการ และมันก็เต็มไปด้วยข้อบกพร่องนานัปการ พร้อมด้วยร่องรอยของการสร้างไม่เสร็จที่ปรากฏอยู่ในเนื้องานแทบทุกกระเบียดนิ้ว
Visual Improvement
แต่ถึงกระนั้นหากจะบอกว่ามันเป็นเกมที่เล่นไม่สนุกก็คงจะเกินไปเสียหน่อย ด้วยภาพกราฟิกที่ตระการตา เอฟเฟกต์แสงสีเสียงต่างๆ Battlefield V คือเกมที่โชว์ศักยภาพของการเป็นเกมที่โคตรสวยได้อย่างไม่ต้องเหนียมอาย ด้วยขุมพลังเอนจิน Frostbite ของ DICE ที่มีการอัปเกรดขึ้นในทุกๆ ปี (โดยเฉพาะในปีนี้ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Ray Tracing บนเครื่อง PC ที่สามารถแสดงผลของการสะท้อนของแสงได้ในระดับเดียวกับงาน VFX ที่ใช้ในวงการฮอลลีวูด) มันก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่ทำให้เราได้รู้สึกถึงอารมณ์ร่วมในการเล่นได้เป็นอย่างดี และมันก็ยังช่วยให้ความวินาศสันตะโรในแต่ละเกมการเล่นน่าทึ่งได้เสมอ
มีหลายครั้งที่ผู้เขียนรู้สึกทึ่งในรายละเอียดของฉาก และเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะในการเล่นโหมดมัลติเพลเยอร์ ไม่ว่าจะเป็นการถูกฝ่ายตรงข้ามบุกจู่โจมที่มั่นด้วยรถถัง ทำลายบ้านทั้งหลังอันเป็นที่กำบังของฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซากด้วยปืนบาซูก้าที่มี ไปจนถึงวิ่งลุยฝ่าหนองน้ำไปพร้อมกับเพื่อนร่วมรบที่ล้มหายตายจากไปทีละคนสองคนจากคลื่นกระสุนของฝ่ายตรงข้าม มันคือ Battlefield ที่ให้อารมณ์ร่วมของฉากสงครามที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึงรากฐานของการเป็นเกมยิงที่ยังคงแน่นเช่นทุกภาคที่ผ่านมา ก็ทำให้มันยังคงความเป็น Battlefield ที่ให้ความรู้สึกสนุกในทุกครั้งที่เหนี่ยวไกได้เช่นเดิม
แต่ถึงตัวผู้เขียนจะพูดเช่นนั้น มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้ Battlefield V เป็นเกมอย่างที่มันควรจะเป็นได้แต่อย่างใด และมันอะไรที่มันเคยไม่สนุกในภาคก่อนๆ มันก็ทวีความไม่สนุกมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะโหมดการเล่นคนเดียวที่แฟนๆ เกมส่วนใหญ่ของซีรีส์นี้ ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับมันมาก นอกไปจากการทำหน้าที่บทนำที่สื่อให้เห็นภาพรวมของตัวเกมทั้งหมด ใน Battlefield 1 เกมได้นำเสนอรูปแบบการเล่นเดี่ยวที่เรียกว่า War Stories ที่จะนำเสนอเรื่องราวของสมรภูมิต่างๆ ผ่านตัวเอกแต่ละตัวที่อยู่คนละที่คนละเหตุการณ์ คนละปี ค.ศ. แยกเป็นเรื่องราวสั้นๆ ของแต่ละคน โดยไม่มีความเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน และใน Battlefield V มันก็ยังคงใช้รูปแบบของการนำเสนอเรื่องราวด้วย War Stories อีกครั้ง ที่ไม่สนุกและน่าเบื่อยิ่งกว่าเดิม
Untold Stories
War Stories ใน Battlefield V ประกอบไปด้วยเรื่องราวของ 4 เหตุการณ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และทางทีมพัฒนาก็ไม่ต้องการจะนำเสนอภาพของสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังเช่นเกมอื่นๆ ที่ให้ความสำคัญไปที่สมรภูมิใหญ่ๆ ในประวัติศาสตร์ นั่นจึงทำให้แต่ละ Story ของ Battlefield V ไม่ได้ให้ความรู้สึกและอารมณ์ของการเป็นสงครามโลกครั้งที่สองอย่างที่เราคุ้นเคย เพราะมันเป็นเรื่องแต่งที่นำมาผสมเข้ากับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แบบบางๆ ด้วยเจตนารมณ์ของทีมงานในการส่งเสริมความหลากหลายทางเพศและเชื้อชาติ ที่ดูมากเกินพอดี
เรื่องราวทั้ง 4 ของโหมดการเล่นเดี่ยวประกอบไปด้วย Under No Flag เรื่องราวของ Billy Bridger อดีตโจรปล้นธนาคาร ที่ต้องจำใจอาสาไปร่วมกับหน่วยรบในหน่วย Special Boat Service ที่นำโดยหัวหน้าที่ชื่อ Mason ในการก่อวินาศกรรมลานจอดเครื่องบินของพวกนาซี ซึ่งในบทนี้เราก็จะได้เห็นความสัมพันธ์อันระหองระแหงของทั้งคู่ที่ได้พัฒนากลายเป็นมิตรภาพระหว่างรบ
มาในส่วนของเนื้อเรื่องในบทที่สอง Nordlys เรื่องราวในช่วงปีที่ประเทศนอร์เวย์ถูกปกครองโดยกองทัพนาซีเยอรมัน เมื่อกองทหารพิเศษของอังกฤษได้แอบลักลอบเข้าไปจารกรรมข้อมูลด้วยการช่วยเหลือของกองกำลังต่อต้านของนอร์เวย์ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาถูกฆ่าตายจนหมดยกเว้นแต่หัวหน้ากองกำลังต่อต้านที่ถูกคุมขัง และเราก็จะได้รับบทเป็นลูกสาวของเธอที่ต้องทำภารกิจในการเข้าไปช่วยเหลือ และหาทางยับยั้งการสร้างอาวุธชิ้นใหม่ของกองทัพนาซี
เนื้อเรื่องในส่วนที่ 3 Tirailleur เป็นเหตุการณ์หลังจากที่กองทัพสัมพันธมิตรได้ยึดอ่าวนอร์มังดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเราจะได้เล่นเป็นหนึ่งในทหารของกองทัพชาวเซเนกัลที่ถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือฝรั่งเศสให้หลุดพ้นจากครอบครองของกองทัพเยอรมัน ที่เรื่องราวในบทนี้จะเป็นการสะท้อนภาพของการแบ่งแยกทางเชื้อชาติและสีผิว ที่จะทำให้เราได้รู้สึกถึงการเป็นกลุ่มคนที่ถูกลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ แม้พวกเขาจะสละชีพเพื่อคนอื่นอยู่ก็ตาม
และสุดท้ายกับเนื้อเรื่องในส่วนที่ 4 กับ The Last Tiger เรื่องในช่วงสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เราจะได้รับบทเป็นผู้การ Peter Müller ผู้บัญชาการรถถัง Tiger อันเกรียงไกรของกองทัพเยอรมัน ที่ต้องต้านทานการบุกของกองทัพสัมพันธมิตรที่ได้บุกข้ามฝั่งแม่น้ำไรน์เข้ามา อันเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของสงครามโลกครั้งที่สอง ไปพร้อมกับบทบาทของรถถัง Tiger คันสุดท้าย
ทั้ง 4 เนื้อเรื่องนั้นก็จะประกอบไปด้วยฉากสั้นๆ เพียงแค่ 2-3 ฉากเท่านั้น และอาจจะสั้นกว่า War Stories ของ Battlefield 1 ด้วยซ้ำ นั่นเพราะใน Story ที่ 1 และ 2 เกมจะมีการนำเสนอการเล่าเรื่องที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยในเรื่องราวของทั้งคู่ จะมีส่วนที่เป็นภารกิจแบบเปิดกว้าง กึ่งการเป็น Open World มาให้เราได้เล่น มันมาพร้อมกับแผนที่ขนาดใหญ่และภารกิจที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นเดินทางไปทำภารกิจไหนก่อนก็ได้ และก็เช่นเดียวกันกับการเกมการเล่นส่วนใหญ่จาก War Stories ใน Battlefield 1 ที่พยายามอยากที่จะให้เราเล่นแบบลอบเร้นเป็นหลัก ใน Battlefield V มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
แต่สุดท้ายแล้วการยิงลุยดะฝ่าดงปืนก็สามารถทำได้ง่ายกว่า และเกมก็ไม่ได้มอบรางวัลอะไรให้กับผู้เล่นที่เล่นแบบลอบเร้น ก็ทำให้เกมขาดซึ่งสีสันและความสนุกอย่างที่มันควรจะเป็น อันเป็นผลพวงมาจากความมักง่ายของทีมสร้าง ที่สร้างโหมดการเล่นนี้ด้วยการโยนแผนที่ใหญ่ๆ มาให้กับผู้เล่น ที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องใส่สคริปต์อะไรให้มันมากมายนัก และมอบความเป็นเกมกระบะทรายหรือ Sandbox มาแทนที่ มันจึงเต็มไปด้วยฉากที่ดูเหมือนจะเปิดกว้างแต่ก็ไร้ซึ่งประโยชน์ในการใช้สอย ที่เลวร้ายที่สุดคือมันไม่ได้มีความสนุกแม้สักอย่าง แม้เราจะพยายามเล่นในแบบลอบเร้นอย่างที่เกมอยากให้เราเล่นแล้วก็ตาม
แต่ในเนื้อเรื่องในบทที่ 3 ก็ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี เพราะมันก็กลับมาเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมาอีกครั้งโดยไม่มีแผนที่ใหญ่ๆ อันแสนกลวงเปล่ามาเป็นตัวขวางกั้น และในบทสรุปสุดท้ายของมันก็เป็นอะไรที่น่าตกใจและเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราควรตระหนักถึง แต่สิ่งที่ดีที่สุดใน War Stories ทั้ง 4 ก็คือเรื่องราวของ The Last Tiger ถึงแม้ 90 เปอร์เซ็นต์ของเกมการเล่นในเนื้อเรื่องนี้จะเป็นการขับรถถัง Tiger แทบทั้งหมด แต่มันก็มีฉากที่น่าตื่นเต้นและได้นำเสนอบทสรุปทั้งหมด อันเป็นผลพวงของความโหดร้ายในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างสวยงามและน่าเศร้า
แม้สาสน์ที่ทีมงานต้องการจะสื่อไปยังผู้เล่นมันคือเรื่องดีที่เราควรตระหนักถึง แต่เหมือนทาง DICE เองก็ดูจะลืมไปว่าสิ่งที่ผู้เล่นต้องการนั้นคืออะไร เพราะในแต่ละอย่างที่ทีมงานได้นำเสนอมานั้น ไม่ว่าจะเป็นการเผางานเพื่อให้ทันกำหนดวางจำหน่ายหรือไม่? อย่างไรเสียมันก็ไม่ได้มอบประสบการณ์ในการเล่นที่สนุกให้กับแฟนเกมเลย เหมือนกับว่า DICE เองก็คงลืมไปว่าพวกเขากำลังสร้างเกมยิงมุมมองบุคคลที่ 1 อยู่เพราะต่อให้เรื่องราวใน War Stories มันจะชูความหลากหลายทางเพศและเชื้อชาติ ไปพร้อมกับเรื่องราวของการสร้างสันติภาพมากขนาดไหน โดยเนื้อแท้ของเกมก็ยังคงเป็นเกมยิงที่ผู้เล่นจำต้องเข้าห้ำหั่นเข้าใส่กันในโหมดมัลติเพลเยอร์อยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแฟน Battlefield ขาประจำที่ไม่นิยมเล่นโหมดเนื้อเรื่องในเกมอยู่แล้ว และที่ซ้ำร้ายไปกว่า War Stories ก็คือโหมดมัลติเพลเยอร์ที่แฟนๆ ต่างล้วนคาดหวัง มันก็เป็นการถอยหลังลงคลองเสียยิ่งกว่า
Less but not better
แม้ผู้เขียนจะกล่าวไว้ข้างต้นว่างานภาพของ Battlefield V และระบบพื้นฐานของ Battlefield คือจุดเด่นที่ทำให้มันเปล่งประกายด้วยอารมณ์ร่วมในสมรภูมิที่ดียิ่งขึ้นกว่าเก่า มันเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเชื่ออย่างเต็มอกว่า ผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้ามาเล่นเกมในซีรีส์นี้เป็นครั้งแรก ก็คงจะเพลิดเพลินไปกับมันได้ไม่ยาก แต่เมื่อมองลึกลงไปยังระบบต่างๆ ที่คอยขับเคลื่อนเกม การเปลี่ยนแปลงของ Battlefield V ในครั้งนี้มันก็ชวนให้สงสัยว่าพวกเขาต้องการที่จะทำอะไรกับเกมๆ นี้กันแน่ ?
ในช่วงก่อนออกวางจำหน่าย Battlefield V ได้เปิดให้ผู้เล่นทั่วไปได้เข้าไปทดสอบเกม และผลที่ได้ก็คือ มันเต็มไปด้วยเสียงก่นด่าที่มาจากแฟนเกมส่วนใหญ่ แม้เกมจะยังคงแก่นหลักของการเป็น Battlefield แต่ใน Battlefield V ในช่วงการเปิดให้ทดสอบในช่วงแรกนั้น มันคือการปรับเปลี่ยนและเพิ่มระบบหลายๆ อย่างที่น่าขัดใจ
โดยปกติแล้วในโหมดการเล่นแบบผู้เล่นหลายคนของ Battlefield จะประกอบไปด้วย Class แต่ละ Class ที่มีหน้าที่แตกต่างกัน โดยหน้าที่หลักในการคอยชุบชีวิตเพื่อร่วมทีมนั้นก็มักเป็นหน้าที่ของ Class Medic หรืออื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องไม่ Class ใดก็ Class หนึ่ง แต่ใน Battlefield V ระบบการชุบชีวิตได้ถูกเปลี่ยนไปจากเดิม โดยไม่ว่าผู้เล่นจะเล่นคลาสใดๆ ก็ตามก็สามารถที่จะชุบชีวิตเพื่อร่วมทีมได้ แต่มันก็จะใช้เวลาที่มากขึ้นหากเราเล่นคลาสอื่นๆ ที่ไม่ใช่คลาส Medic
และนอกจากนี้ในช่วงเวลาหลังจากที่เราถูกยิงตาย แทนที่เราจะรอเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเพื่อไปเกิดใหม่ เกมก็ได้เพิ่มระบบการยื้อลมหายใจเฮือกสุดท้าย เพื่อประวิงเวลาให้เพื่อนร่วมทีมเข้ามาช่วยเหลือได้ ซึ่งไม่ว่าจะทั้งบทบาทของ Class Medic ที่ลดลง และระบบก็ยื้อชีวิตที่ยืดยาวจนน่ารำคาญ ก็ยังเป็นสิ่งที่มีอยู่ในเกมเวอร์ชันที่ออกวางจำหน่าย แต่มันก็ได้รับการปรับปรุงให้มีความกระชับมากขึ้นหลังได้รับเสียงตอบรับไปในทางแย่กับการเพิ่มระบบนี้เข้ามาในเกม
นอกจากนี้เกมยังมาพร้อมกับแนวคิดแปลกๆ ที่ทางทีมงานเรียกว่า “Attrition system” ด้วยการให้ผู้เล่นทุกคนเริ่มเกมด้วยทรัพยากรที่ขาดแคลน และมีกระสุนติดตัวกันเพียงไม่กี่แมกาซีน ที่ทางผู้พัฒนาต้องบอกว่ามันเป็นการเพิ่มมิติความลึกของการต่อสู้ให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบอีกหลากหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นพลังชีวิตและช่วงเวลาของการฆ่า (Time to kill) ที่หดสั้นลง ระบบการ Spot เพื่อระบุตำแหน่งเป้าหมายถูกถอดออก การฟื้นฟูเลือดไม่สามารถฟื้นฟูได้จนเต็มหากไม่ใช่กล่องพยาบาลจาก Medic รวมไปถึงระบบ Fortification ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถสร้างสิ่งกีดขวางได้ในพื้นที่ตามที่เกมกำหนด (ซึ่งก็ไม่รู้เลยว่าได้แรงบันดาลใจมาจากไหน)
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทางทีมงานดูเหมือนกำลังจะพยายามที่ทำให้ Battlefield นั้นมีความสมจริงกว่าเดิม และเน้นไปที่การช่วยเหลือกันภายใน Squad หรือกองพลเล็กขนาด 4 ผู้เล่นให้มากยิ่งขึ้น และยังมาพร้อมกับความพยายามที่จะทำให้ในแต่ละคลาสมีบทบาทที่หลากหลายมากด้วยระบบ Class Role ที่ผู้เล่นสามารถเลือกเล่นได้ตามสไตล์ถนัด แต่เช่นเดียวกับโหมด War Story นั่นแหละครับ ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่สิ่งที่แฟนเกมอยากที่จะได้ นั่นจึงเป็นผลให้หลังจากที่เกมปล่อย Beta ออกไป ทีมงานจึงต้องกลับไปรื้อระบบใหม่และเลื่อนการวางจำหน่ายเกมออกไปจากเดิม แต่ถึงแม้พวกเขาจะกลับไปปรับระบบหลายๆ อย่างให้เข้าที่ข้างทางมากขึ้น ถึงกระนั้นแล้วมันก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาอันเกิดจากคอนเซปต์เดิมของเกมที่ทีมงานได้วางเอาไว้ได้เลย
นอกจากสิ่งที่เพิ่มเข้ามามันยังไม่ได้เป็นการปรับปรุงที่ตอบโจทย์ของเหล่าแฟนๆ แล้ว Battlefield V ยังตัดสิ่งที่เคยมีใน Battlefield 1 หรือ Battlefield 4 ออกไปอีก ใน Battlefield 1 ฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำและกำลังจะพ่ายแพ้ เกมก็จะมีตัวช่วยให้สามารถกลับมาต่อกรกับศัตรูอีกฝั่งได้ด้วยการมาของ Behemoth เหล่ายานพาหนะประจำด่านขนาดมหึมาที่จะมาพลิกเกม หรืออย่างใน Battlefield 4 เองก็ยังมีพลวัตของฉากที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยระบบ Levolution สิ่งเหล่านี้ไม่มีปรากฏให้เห็นใน Battlefield V และมันก็ยังไม่มีสิ่งใหม่ที่เข้ามาทดแทนอีกด้วย ซ้ำร้ายในโหมด Grand Operations ที่เป็นการนำเอาโหมด Operations เดิมมาขยายให้ยาวขึ้น ก็ยังทำให้มันมีความน่าสนใจที่น้อยลงไปอีก
เพราะในโหมดการเล่นนี้จะแบ่งการต่อสู้ออกเป็นวัน (ซึ่งก็คือรอบนั่นแหละ) โดยในรอบแรกหากทีมฝั่งไหนที่ทำผลงานได้ดีกว่าก็จะได้รับโบนัสพิเศษเช่น อาวุธหรือยานพาหนะด้วยจำนวนที่มากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ฝั่งที่ทำผลงานได้แย่ก็จะใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมากขึ้นด้วยทรัพยากรที่น้อยกว่าในรอบต่อไป นั่นจึงทำให้ในแต่ละเกมนั้นมักเป็นการบุกไม่ก็ตั้งรับเพียงฝั่งเดียวซะเป็นส่วนมาก
แต่ถึงกระนั้น Battlefield V ก็ยังมาพร้อมกับโหมดการเล่นเดิมๆ ตามสไตล์ของ Battlefield ไม่ว่าจะเป็น Conquest, Breakthrough, Frontlines, Dominations ที่ไม่ว่าในแต่ละโหมดจะมีการตั้งชื่อสวยหรูขนาดไหน แต่ใจความของมันก็ยังคงเป็นการวิ่งเพื่อเข้าไปยึดจุด หรือไม่ก็ตั้งรับเพื่อป้องกันการเข้ามายึดจุดของผู้เล่นฝั่งตรงข้ามจนบางครั้งตัวผู้เขียนก็แยกไม่ออกว่าในแต่ละโหมดนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร ยังจำโหมดการเล่นแปลกๆ อย่าง War Pigeons ใน Battlefield 1 ได้ไหมล่ะครับ น่าเสียดายที่มันเป็นอีกหนึ่งอย่างที่โดนถอดออกไปจากเกมภาคนี้แล้ว และก็ยังไม่มีอะไรที่มาแทนที่
Game as a Early Access
และสิ่งที่มันควรจะปรับปรุง มันก็ยังไม่ได้รับการปรับปรุงในภาคนี้ นั่นคือระบบ Progression ในเกม หลังจากที Star Wars Battlefront 2 ได้นำเสนอระบบ Progression ที่ทำให้แฟนเกมต้องร้องว้าว ด้วยการเปิดกล่องเพื่อหาการ์ดมาเพิ่มประสิทธิภาพให้กับอาวุธและตัวละคร มันก็ทำให้การกลับมาในปีนี้ทาง EA และ DICE ก็ดูจะยั้งคิดกันมากขึ้น และอาจจะเกินไป เพราะอาวุธปืนทุกชนิดนั้นจะไม่มีของตกแต่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอีกแล้ว
โดยการปรับแต่งอาวุธปืนนั้นผู้เล่นจะสามารถปรับแต่งได้ตาม Perks ของอาวุธแต่ละชิ้นที่จะปลดล็อกให้ปรับได้เมื่อผู้เล่นใช้อาวุธจนถึงเลเวลที่กำหนด และจะต้องทำการซื้อ (ใช่แล้วครับ “ซื้อ”) Perks เหล่านั้นด้วยค่าเงินในเกมที่ได้มาจากการทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกมจะมีระบบพื้นฐานดังเช่นเกมมัลติเพลเยอร์สมัยนี้มี ไม่ว่าจะเป็น Daily Challenge และการทำ Assignment ที่แบ่งแยกออกไปเป็นตามคลาสหรือตามอาวุธปืนที่จะให้ภารกิจมาให้ผู้เล่นทำ
อาทิเช่นการสร้างความเสียหายจากแรงระเบิดให้ได้ตามที่กำหนด หรือการส่งยารักษาพยาบาลให้เพื่อนตามจำนวนครั้ง เป็นต้น รวมไปถึงระบบ Chapter ที่มีระยะเวลาจำกัดในการเข้าร่วมกิจกรรมที่หากเราทำได้ตามเป้าหมายที่เกมกำหนดได้ทัน เกมก็จะให้รางวัลพิเศษที่ (น่าจะ) มีเฉพาะผู้ที่ทำกิจกรรมเท่านั้นที่มี
แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าถูกเกมดึงดูดให้กลับไปเล่นแต่อย่างใด ทำไมน่ะหรือครับ? เพราะของต่างๆ ที่นอกจาก Perks ของอาวุธแล้ว ไอเทมแต่ละชิ้นมันไม่มีคุณค่าให้ซื้อเลย ของส่วนใหญ่ที่เกมมี (และน่าจะเป็นส่วนมาก) ก็คือบรรดาสีของอาวุธที่แบ่งแยกออกไปตามส่วน อ๋อ ตัวเกมมีระบบการแต่งตัวละครด้วยนะครับ โดยเราสามารถที่จะปรับแต่งเสื้อผ้าได้ และเพศของตัวละครที่เราเล่นก็ได้ด้วย แต่ในตอนนี้เสื้อผ้าต่างๆ ที่เกมมีนั้นมันก็น้อยเสียเหลือเกิน แต่ก็ไม่ต้องกลัวไปเพราะเกมมาพร้อมกับระบบ Shop ที่จะมีสินค้าใหม่ๆ มาให้ช้อปปิ้งกันเรื่อยๆ ซึ่งก็คงต้องดูกันต่อไปยาวๆ ว่าทาง DICE จะส่งของมาล่อตาล่อใจเราได้มากขนาดไหน แต่ถามผมจากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสเกมของ DICE มาแทบทุกเกม การตั้งความคาดหวังน้อยๆ ไว้น่าจะเป็นการดีเสียกว่า
มาถึงตรงนี้ สิ่งที่ผู้เขียนอยากจะบอกก็คือจริงๆ แล้ว Battlefield V ก็อาจจะไม่ใช่เกมที่แย่นักนะครับ หากเราไม่นำเอาไปเปรียบเทียบกับเกมภาคก่อนโดยคิดซะว่ามันคือเกมใหม่ และต้องทำใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับมันจึงจะพอที่จะสนุกและเพลิดเพลินไปกับมันได้โดยปราศจากอคติจากการเปรียบเทียบ แม้เกมจะยังเต็มไปด้วยข้อบกพร่องต่างๆ ไม่ว่าจะทั้งบั๊กหรือระบบเกมที่น่าขัดใจ แต่ทางเชื่อได้ว่าทางทีมพัฒนาก็คงพยายามอย่างเต็มที่ในการปรับปรุงและแก้ไขให้มันเข้ารูปเข้ารอยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
Rush B!
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่แท้จริงของ Battlefield V ก็คือการที่มันออกวางจำหน่ายเร็วเกินไป ในช่วงแรกของวางจำหน่ายเนื้อเรื่องของ The Last Tiger นั้นยังทำไม่เสร็จด้วยซ้ำ ในอดีตกาลไม่ผ่านมานานมาก EA เคยเป็นค่ายเกมที่เลี่ยงวลีของการหั่นแบ่งและตัดเนื้อหาของเกมออกมาวางจำหน่ายแยก ด้วยคำที่เรียกว่า DLC แม้ในปีที่ผ่านมาพวกเขาจะยกเลิกการใช้คำที่ว่าไปแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ค้นพบคำใหม่ที่มาแทนที่ ด้วยการบอกพวกเราว่า เกมของพวกเขาต่อจากนี้จะเป็น Game as a Service ทั้งหมดโดยไม่มีการขาย Season Pass ใดๆ ทั้งสิ้น
แต่แทนที่มันจะเป็นเกมเต็มและเพิ่มเติมคอนเทนต์ใหม่ๆ มาให้เราดังที่ Game as a Service ควรจะเป็น พวกเขาก็กลับเข็นเกมที่ยังสร้างไม่เสร็จจนอาจเรียกได้ว่าเป็นเกม Early Access มาสู่ท้องตลาด และปล่อย Roadmap อัปเดตในสิ่งที่ควรจะมีแต่แรกมาเป็นตัวชูโรง มันก็เป็นการดูถูกผู้บริโภคและเป็นแนวคิดที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
นอกจากมันจะเป็นการทำร้ายตัวบริษัทเองด้วยยอดขายที่ตกต่ำลงแล้ว มันก็ยังเป็นการทำร้ายทีมพัฒนาและแฟรนไชส์ของพวกเขาเองอีกด้วย ซึ่งบางทีนี่ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของซีรีส์ Battlefield ก็เป็นได้ เพราะยิ่งพวกเขาออกเกมภาคใหม่ เราก็มักที่จะเห็นแฟนเกมบางกลุ่มเริ่มทยอยกลับไปเล่นเกมภาคเก่ามากขึ้น (ในตอนนี้ Battlefield 4 ก็ยังมีผู้เล่นนับหมื่นคนต่อวัน) รวมไปถึง DICE เองที่หากพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จต่อเนื่องกันเข้า ก็คงถึงคราวต้องอวสานดังเช่นสตูดิโออื่นๆ ของ EA ที่ปิดตัวลงไป และทั้งหมดที่ว่า ก็อาจขึ้นอยู่กับ Roadmap ในอนาคตของ Battlefield V โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโหมด Firestorm หรือโหมด Battle Royale ที่อาจจะมาสายเกินไปเสียแล้วในเมื่อบนท้องตลาดมันถูกปกครองโดยทั้ง Fortnite, PUBG และ Call of Duty: Back Ops IIII