สารภาพตามตรงว่าผู้เขียนไม่เคยมีความคิดที่จะเล่นเกมแนวขับเครื่องบินมาก่อนเลยครับ อาจจะด้วยการที่ตัวผู้เขียนเองมีภาพมโนฝังหัวว่าเกมแนวนี้มันน่าจะมีความน่าเบื่ออยู่พอตัวจากการที่เกมทั้งเกมมีเพียงแค่ฉากท้องฟ้ากว้างๆ และเป้าหมายก็มีเพียงแค่การยิงศัตรูในฉากให้หมดเท่านั้น ทั้งยังแอบคิดว่ากลุ่มคนเล่นเกมแนวนี้ก็คงมีแต่พวกเหล่าผู้คลั่งไคล้และชื่นชอบเครื่องบินเป็นพิเศษเท่านั้นที่ให้ความสนใจกับเกมแนวนี้ แต่ Ace Combat 7: Skies Unknown ก็ทำให้ผู้เขียนต้องปรับความคิดที่มีต่อเกมขับเครื่องบินเสียใหม่ด้วยการที่มันไม่ได้เป็นเกมขับเครื่องบินที่แสนน่าเบื่ออย่างที่ตัวผู้เขียนคิดเอาไว้เลย
Ace Combat 7: Skies Unknown เป็นเกมภาคต่อของเกมขับเครื่องบินรบที่อยู่คู่กับวงการเกมมาอย่างยาวนานครับ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วตัวผู้เขียนเองก็ได้สัมผัสเกมในแฟรนไชส์นี้มาเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ซึ่งจะมีภาคที่พอเล่นจริงจังบ้างก็ดันเป็นเกมในภาค Ace Combat: Assault Horizon ที่ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนเกมซีรีส์นี้ไปค่อนข้างแย่ ซึ่งพอได้มาเล่นเกมในภาคนี้ก็ทำให้ผู้เขียนได้รู้ว่าเพราะเหตุใดแฟนๆ เกมของซีรีส์นี้ถึงไม่ชอบเกมภาค Ace Combat: Assault Horizon ที่เป็นความพยายามของทีมสร้างในการเจาะตลาดทางฝั่งตะวันตกเป็นอย่างมาก
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเกมแนวขับเครื่องบิน แต่ Ace Combat 7: Skies Unknown ก็ไม่ได้นิยามตัวเองว่าเป็นเกมแนวจำลองการขับเครื่องบินเหมือนกับเกมอื่นๆ ในท้องตลาด แต่พวกเขานิยามเกมของตัวเองว่า เกมของพวกเขาคือเกมแนวจำลองการรบทางอากาศแทน และมันก็ไม่ได้เกินเลยนัก ซึ่งถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ก็ต้องบอกว่าเกมในซีรีส์ Ace Combat เป็นเกมแนวขับเครื่องบินต่อสู้ทางอากาศที่เน้นสนุกเข้าว่า และมันก็มาพร้อมกับการควบคุมที่เรียบง่าย แต่ก็ทำให้ผู้เล่นสามารถสัมผัสได้ถึงความเท่ได้ไม่ยาก และมันก็ยังมาพร้อมกับความสนุกเป็นอย่างมากอีกด้วย
เกมจะมีโหมดการควบคุมให้ผู้เล่นได้เลือกโดยแบ่งเป็นโหมดการควบคุมแบบ Standard ที่เหมาะสำหรับมือใหม่หัดบิน และ Expert สำหรับเซียนจ้าวเวหา โดยการเล่นในโหมด Standard นั้นผู้เล่นแทบจะไม่ต้องกังวลกับการควบคุมที่ยุ่งยากใดๆ เลยเพราะเกมจะมีระบบที่คอยช่วยเหลือตลอดเวลาเช่นเมื่อเวลาผู้เล่นทำการบินหมุนเปลี่ยนองศาเกมก็จะคอยปรับมุมกล้องให้โดยอัตโนมัติเพื่อไม่ทำให้เรางงตามปกติของมุมกล้องของตัวเกมเหมือนกับเกมขับเครื่องบินเกมอื่นๆ แต่ก็ใช่ว่าการเล่นในโหมดนี้จะขาดความสนุกไปเพราะเกมเองก็มีองค์ประกอบอีกมากมายที่จะเข้ามาท้าทายผู้เล่นตลอดเวลา จะมีข้อเสียบ้างก็คือการที่การเล่นท่าทางอากาศยานบางอย่างนั้นจำเป็นที่จะต้องเล่นด้วยโหมดการควบคุมแบบ Expert เท่านั้นตัวอย่างเช่นการทำท่า Barrel roll ที่เป็นการหมุนควงเพื่อหลบมิสไซล์ หรือการทำ Immelmann turn ที่เป็นการเหินตีลังกาควงสว่าน ก็จะทำได้เฉพาะในโหมดการเล่นแบบ Expert เท่านั้นนั่นเอง แต่ลูกเล่นบางอย่างเช่นการทำ Post Stall Maneuver (การตีลังกาหลัง) จะสามารถทำได้ในทั้งสองโหมดการควบคุมแต่มันก็ต้องขึ้นอยู่กับประเภทของอากาศยานที่ขับขี่ด้วย
อย่างที่ได้กล่าวไปในย่อหน้าที่แล้วว่าเกมจะมีความท้าทายมอบให้กับผู้เล่นตลอดเวลานั้น ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับทีมงานผู้ออกแบบภารกิจของตัวเกม ที่ทำให้ผู้เขียนสามารถเล่นจนจบได้โดยไม่รู้เบื่อตลอดความยาวราว 10 ชั่วโมงของเนื้อเรื่องหลักเลยครับ (ทั้งนี้ทั้งนั้นสำหรับผู้เล่นมากฝีมือคุณอาจจะจบเกมได้ด้วยเวลาที่สั้นกว่านี้) เพราะถึงแม้ภารกิจต่างๆ ในตัวเกมจะเป็นการออกไปกำจัดศัตรูให้หมดฉากเสียเป็นส่วนใหญ่แต่เกมก็มีการเพิ่มองค์ประกอบใหม่ๆ เข้ามาเป็นความท้าทายที่แทบจะไม่ซ้ำกันเลย ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็ไม่อยากเผยความเซอร์ไพรซ์นี้ให้คนที่ยังไม่ได้เล่นตัวเกมเสียเท่าไหร่ครับ เอาเป็นว่าผู้เขียนขอยกตัวอย่างฉากฉากหนึ่งที่ผู้เขียนค่อนข้างชอบ มันเป็นฉากที่ผู้เล่นจะต้องบินไปทำลายฐานที่มั่นริมทะเลของฝ่ายศัตรู แต่ติดตรงที่ว่าผู้เล่นจะต้องหลบการตรวจจับจากเรดาร์ของศัตรูด้วย ซึ่งเปิดฉากมาเกมจะให้เราบินลัดเลาะช่องว่างระหว่างเทือกเขาอันคดเคี้ยวโดยที่ต้องบินในระดับความสูงที่ต่ำมาก และยังต้องหลบการตรวจจับการเหล่าทหารตรวจการภาคพื้นดินที่คอยส่องไฟฉายขึ้นมาเป็นระยะๆ อีกด้วยก่อนที่จะหลุดเทือกเขาเพื่อไปทำลายฐานที่มั่นอันเป็นเป้าหมายได้ ซึ่งฟังดูเหมือนจะยากใช่มั้ยครับ? แต่เชื่อเถอะว่าเกมจะทำให้ท่านผู้อ่านรู้สึกเท่เมื่อได้เล่นภารกิจนี้จริงๆ
ด้วยการที่ตัวผู้เขียนสัมผัสเกมในแฟรนไชส์ Ace Combat มาอย่างผิวเผิน มันอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนประหลาดเป็นอย่างมากก็คือมันเป็นเกมขับเครื่องบินที่มี “เนื้อเรื่อง” แตกต่างไปจากเกมจำลองการขับเครื่องบินในท้องตลาดครับ และเนื้อเรื่องของมันก็ยังมีความน่าสนใจและเล่าเรื่องได้อย่างมีชั้นเชิงด้วย ซึ่งว่ากันว่าเนื้อเรื่องใน Ace Combat 7: Skies Unknown ที่มีความเชื่อมโยงกับเกม Ace Combat ในภาคก่อนๆ ด้วย (ยกเว้นภาค Ace Combat: Assault Horizon) แต่จริงๆ แล้วเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้เรื่องราวใดๆ มาก่อนเลยก็ได้ โดยตัวเกมนั้นจะเล่าเรื่องราวในโลกสมมติที่ทางทีมงานให้ชื่อว่า “Strangereal” ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับโลกของเราในยุคปัจจุบัน แต่มันจะมีภูมิศาสตร์และมีประเทศที่แตกต่างออกไป โดยประเทศที่มีบทบาทสำคัญในเกมภาคนี้ก็ได้แก่ สหพันธรัฐโอเซียน (Osean Federation) หรือ โอเซีย (Osea) และราชอาณาจักรอีรูเซีย ที่เปิดฉากทำสงครามกันหลังจากสงบศึกกันมาอย่างยาวนาน โดยที่ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นนักบินของกองกำลังต่อสู้เพื่อรักษาสันติภาพนานาชาติ (International Union Peacekeeping Force) ที่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามของทั้งสองฝ่ายด้วยนั่นเอง ซึ่งเกมมันก็ยังคงเล่าเรื่องราวทางการทหารแบบสมมติที่ว่ากันว่าเป็นเสน่ห์ของแฟรนไชส์นี้เช่นเดิม
ซึ่งเกมจะมีการเล่าเรื่องผ่านทั้งฉากคัตซีนระหว่างภารกิจที่จะเป็นการนำเสนอมุมมองของตัวละครอื่นๆ ที่มีบทบาทในสงครามครั้งนี้ไปพร้อมกับการเล่าเรื่องผ่านภารกิจที่ผู้เล่นได้รับและการสนทนาของตัวละครในทีมของเราผ่านหน้าจอสื่อสาร ที่เราจะได้เห็นเหล่าเพื่อนร่วมทีมของเรามีการพูดคุยกัน มีการปฎิสัมพันธ์กันตลอดเวลาจนทำให้เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครเหล่านี้ไปด้วย แม้ว่าจะไม่ได้เห็นหน้ากันตรงๆ ก็ตาม นอกจากนี้ในบางภารกิจทางทีมงานก็มีการวางสคริปต์ต่างๆ ไว้ให้เราได้อินกับเรื่องราวของเกมไปด้วยครับ ซึ่งมันก็มีฉากบางฉากที่ทีมงานโชว์ไอเดียของการวางสคริปต์ให้เราได้เห็นกันอีกด้วยครับ ว่าเกมแนวนี้ก็สามารถใช้กลไกของเกมการเล่นเป็นตัวเล่าเรื่องได้ไม่ต่างไปจากเกมแนวอื่นๆ เลย
อีกสิ่งหนึ่งที่เกมทำออกมาได้เหนือความคาดหมายเป็นอย่างมากก็คือการเนรมิตท้องฟ้าให้มันดูมีชีวิตชีวาได้อย่างน่ามหัศจรรย์ โดยเฉพาะการสร้างเมฆในเกมที่มีความสมจริงเป็นอย่างมาก และยังมีส่วนในเกมการเล่นอีกด้วย เพราะเมฆมีส่วนสำคัญอย่างมากในการลดประสิทธิภาพการติดตามของจรวดมิสไซล์ต่างๆ ทั้งของผู้เล่นและของศัตรู และมันก็ยังมีสภาพอากาศที่จะส่งต่อสมรรถนะของตัวเครื่องบินอีกด้วย ตัวอย่างเช่นในบางฉากเราจะได้เจอกับเมฆฝนฟ้าคะนองที่หากเราถูกฟ้าผ่าใส่มันก็จะทำให้ระบบหน้าจอต่างๆ เกิดความขัดข้องชั่วคราว หรือหากเราหลบมิสไซล์ในเมฆนานเกินไปเครื่องยนต์ก็จะถูกไอเย็นจับจนหยุดการทำงานได้ แต่ก็น่าเสียดายที่สภาพอากาศเหล่านี้ไม่ดีมีการเปลี่ยนแปลงแบบเป็นพลวัต และมันก็จะมีอยู่แต่เฉพาะในฉากที่ทีมงานตั้งค่าเอาไว้แล้วเท่านั้น
แต่เกมก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำได้ดีเป็นอย่างมากนั่นก็คือการสร้างเพลงประกอบแต่ละฉากที่มีเอกลักษณ์และยังทำให้ผู้เล่นรู้สึกเท่ไปพร้อมกันได้อีกด้วย ซึ่งในตลอดทุกภารกิจในเกมมันจะมาพร้อมกับเพลงธีมประจำภารกิจที่บอกได้เลยว่าดีแทบทุกเพลง (ซึ่งตัวเกมมีการวางจำหน่ายเพลงประกอบ Ace Combat 7: Skies Unknown Original Soundtrack ในรูปแบบ CD ที่มีด้วยกันถึง 6 แผ่นเลยทีเดียว)
แน่นอนว่าด้วยการที่ Ace Combat 7: Skies Unknown มันเป็นเกมขับ “เครื่องบิน” แล้วเราจะไม่กล่าวถึงตัวเครื่องบินไปเสียมิได้ แม้เกมจะนำเสนอเรื่องราวในโลกเสมือนแต่เครื่องบินต่างๆ ในเกมนั้นยังคงถอดแบบออกมาจากโลกแห่งความเป็นจริง ที่มีทั้งเครื่องบินในตระกูล F, Mig, Su และตระกูลอื่นๆ ที่เกมก็ขนมาเท่าที่เราจะนึกออก ผสมผสานไปกับเครื่องบินสมมติที่ทีมงาน (น่าจะ) เป็นผู้ออกแบบเองที่ราวกับหลุดมาจากแอนิเมชันอย่าง Macross ยังไงยังงั้น ซึ่งเครื่องบินแต่ละลำก็มีจุดเด่นจุดด้วยที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ แต่การที่จะได้เครื่องบินที่ต้องการเราก็จะเป็นที่จะต้องทำการปลดล็อกผ่านระบบที่ตัวเกมเรียกว่า Aircraft Tree ที่ทำหน้าที่คล้ายกับผังสกิลในเกมสวมบทบาท ซึ่งแทนที่สกิลด้วยเครื่องบินใหม่ๆ ที่มีสมรรถนะดี และในผังสกิลนี้มันยังเป็นการปลดล็อกชิ้นส่วนต่างๆ มาให้ผู้เล่นนำไปปรับแต่งสมรรถนะต่างๆ ของเครื่องบินได้อีกด้วย แต่ก็น่าเสียดายที่การปรับแต่งชิ้นส่วนต่างๆ นั้นไม่ได้ส่งผลออกมาให้เราได้เห็นทางกายภาพนอกจากค่าตัวเลขที่เพิ่มขึ้น และมันก็ยังมีชิ้นส่วนมาให้ปลดล็อกไม่หลากหลายเท่าไหร่นัก
นอกจากโหมดการเล่นเนื้อเรื่องหลักแล้ว Ace Combat 7: Skies Unknown ก็มีโหมดการเล่นอย่าง Free Play ให้ผู้เล่นกลับไปเล่นภารกิจเก่าๆ ที่เคยเล่นมาแล้วได้อีกครั้ง และก็มีโหมดมัลติเพลเยอร์มาให้ด้วยที่คิดเสียว่าเป็นของแถมจะดีเสียกว่า เพราะโหมดมัลติเพลเยอร์ในเกมนี้มีเพียงแค่โหมดการเล่นแบบ Battle Royal และ Team Deathmatch นั้นโดยเฉพาะ Battle Royal ที่น่าจะเรียกว่าโหมดการเล่นแบบ Deathmatch เสียจะดีกว่าเพราะมันไม่มีองค์ประกอบใดๆ เลยนอกจากให้ผู้เล่น 8 คนเข้าไปไล่ยิงกัน สิ่งเดียวที่เกมทำได้ดีก็คือในแต่การเกมการเล่นนั้นมันใช้เวลาไม่มากนัก แต่ ณ ปัจจุบัน (2021) ก็ต้องบอกว่าการหาห้องเล่นยังอาจจะนานกว่าการเล่นในแต่ละครั้งเสียอีก
Ace Combat 7: Skies Unknown น่าจะเรียกได้ว่าเป็นเกมที่สามารถกู้ศรัทธาของแฟนๆ ได้อีกครั้ง และมันก็ยังได้มัดใจผู้เขียนให้กลายเป็นแฟนของซีรีส์นี้ไปแล้ว ด้วยการเล่าเรื่องในสไตล์ทางการทหารที่มีเสน่ห์ มีเกมการเล่นสุดเท่แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความเรียบง่ายและยังมาพร้อมกับไอเดียเด็ดๆ มากมายพร้อมกับเพลงประกอบอันสุดยอดเยี่ยม แม้จะมีจุดบกพร่องและมีความตื้นเขินทางด้านระบบพื้นฐานของเกมการเล่นไปบ้าง แต่ผู้เขียนก็อดห่วงไม่ได้ว่าอีกเมื่อไหร่กันที่เราจะได้เห็น Ace Combat 8 กลับมาอีกครั้ง และจะเป็นเกม Ace Combat ที่ดีกว่าเกมในภาคนี้ได้อย่างไรโดยที่ยังไม่สูญเสียความเป็นตัวตนของมัน