ในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมาในแวดวงอุตสาหกรรมเกม บรรดาค่ายเกมต่างๆ โดยเฉพาะค่ายเกมยักษ์ใหญ่ มักพยายามจะทำให้เกมของพวกเขาให้เป็นเกมที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ตามเทคโนโลยีในการพัฒนาเกมที่ก้าวล้ำขึ้นในทุกๆ วัน จนเป็นผลให้เกมที่ออกวางจำหน่ายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มักเต็มไปด้วยเกมแนวโลกเปิดที่มาพร้อมกับความทะเยอทะยานในการที่จะเป็นเกมทุกแนวในเกมเดียว จนทำให้แก่นของแนวเกมบางแนวเริ่มสูญหาย โดยเฉพาะเกมแนวลอบเร้นที่แทบจะไม่เหลือตัวตนอีกต่อไปแล้ว แต่ A Plague Tale: Innocence ผลงานของ Asobo Studio กลับเลือกที่จะทำในสิ่งที่ค่ายเกมดังต่างๆ ล้วนเลิกทำกันไปแล้ว ด้วยการที่มันเป็นเกมลอบเร้นขนานแท้ที่ผสมผสานเข้ากับกลไกความเป็นเกมแก้ปริศนา และยังมาพร้อมกับการดำเนินเรื่องที่เป็นเส้นตรงในฉากการเล่นอันคับแคบ แต่มันกลับกลายเป็นหนึ่งในเกมลอบเร้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในช่วงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ผู้เขียนมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า “เกมที่ดี” จะต้องเป็นเกมที่ดีตั้งแต่การวางแนวคิดในการสร้างตัวเกม ก่อนที่แม้แต่จะเริ่มลงมือสร้าง ซึ่งการวางแนวคิดที่ดีก็ต้องมาจากองค์ความรู้ของตัวผู้สร้างที่ต้องตระหนักได้ถึงขีดความสามารถว่า พวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้างในเกมที่พวกเขากำลังจะเริ่มลงมือทำ ซึ่ง A Plague Tale: Innocence ผลงานของ Asobo Studio ก็เป็นผลงานที่เกิดขึ้นมาจากวิธีการเช่นนี้ มันจึงเป็นเกมที่เราแทบจะไม่เห็นความผิดแปลกในส่วนของกลไกการเล่น การออกแบบฉาก หรือรายละเอียดที่เกินจำเป็น และถึงแม้สโคปของเกมจะไม่ได้มีขนาดใหญ่โต แต่มันกลับมีศักยภาพในทุกๆ ด้านในแบบที่ “เกมที่ดี” ควรจะเป็นอีกด้วย โดยที่ตัวทีมงาน Asobo Studio เองก็ไม่ได้เป็นค่ายเกมยักษ์เหมือนกับค่ายเกมแนวหน้าค่ายอื่นๆ แต่พวกเขามีองค์ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ในการสร้างเกมขนาดเล็กมาอย่างยาวนาน และพวกเขาก็รู้ในขีดจำกัดของตัวเองเป็นอย่างดี และที่สำคัญก็คือ พวกเขารู้วิธีการที่จะทำให้พวกเขาสามารถผลักดันขีดจำกัดเหล่านี้ให้มันสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
หากย้อนกลับไปก่อนที่เกม A Plague Tale: Innocence จะออกวางจำหน่าย Asobo Studio ยังคงเป็นทีมงานที่มีน้อยคนนักจะรู้จัก เพราะผลงานของพวกเขามักเป็นเกมลิขสิทธิ์จากแอนิเมชันของ Pixar ที่หลายคนก็คงรู้กันดีว่ามันก็เป็นเพียงแค่เกมที่ทำออกมาเพื่อขายพ่วงภาพยนตร์ที่กำลังออกฉาย แต่การทำงานในรูปแบบนี้มานานก็ทำให้ทีมงาน Asobo Studio มีองค์ความรู้ในด้านการออกแบบเกมที่แข็งแรงที่ทำให้พวกเขาสามารถใช้ทรัพยากรที่มีได้อย่างเต็มที่ในเวลาอันจำกัด จนเมื่อพวกเขาเริ่มได้รับโอกาสในการร่วมพัฒนาเกมฟอร์มใหญ่อย่าง The Crew 2 ร่วมกับทาง Ivory Tower ของทาง Ubisoft มันก็ทำให้พวกเขารับเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งอีกด้วย A Plague Tale: Innocence จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยองค์ความรู้ต่างๆ เหล่านี้ และเป็นตัวต่อยอดให้ทีมงาน Asobo Studio กลายเป็นทีมงานที่ถูกกล่าวขานในฐานะผู้พัฒนาเกมโลกเปิดที่สมจริง และยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมากับเกมที่ชื่อว่า Microsoft Flight Simulator นั่นเอง
A Plague Tale: Innocence เป็นเกมแนวผจญภัยที่เน้นการเล่นแบบลอบเร้น ที่มาพร้อมกับการเล่าเรื่องที่เป็นเส้นตรง ที่เหมือนเป็นการพาผู้เล่นกลับยังช่วงราว 5-6 ปีก่อน ในช่วงที่เกมแนวนี้ยังคงอยู่ในช่วงเฟื่องฟู ก่อนที่มันจะเริ่มหายไปตามกาลเวลาด้วยทิศทางของอุตสาหกรรมเกมที่เติบโตขึ้น และทีมงาน Asobo Studios ก็ยึดถือแนวทางการเล่นที่พวกเขาได้วางแผนเอาไว้อย่างแน่นตรึง ด้วยการเล่าเรื่องราวการผจญภัยของสองพี่น้อง อามิเซีย (Amecia) เด็กสาววัยรุ่นและ ฮูโก (Hugo) น้องชายผู้ป่วยเป็นโรคอันแปลกประหลาด สองทายาทตระกูลขุนนางของฝรั่งเศสในยุคสงครามร้อยปี ที่ต้องหลบหนีจากการตามล่าของเหล่ากองทัพผู้ละทิ้งความเชื่อของศาสนจักรนาม “อินควิซิชั่น” (Inquisition) ที่เริ่มหมดศรัทธากับความเชื่อตามขนบ จนต้องมาแสวงหาด้านมืดที่ยิ่งกว่ากาฬโรคจากเหล่ากองทัพหนูที่พวกเขากำลังเผชิญ
ทีมงาน Asobo Studio ได้เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่าเกม The Last of Us คือแรงบันดาลใจของพวกเขาในการสร้างเกม A Plague Tale: Innocence และมันก็เป็นอย่างที่ทีมงานได้ว่าเอาไว้จริงๆ เพราะตัวเกมแทบจะถอดแบบการเล่นมาจาก The Last of Us แทบทุกประการ ทั้งการที่ตัวเกมมีสองตัวละครหลักเป็นตัวดำเนินเรื่อง ที่ต้องคอยพึ่งพาอาศัยกันตลอดในการเดินทาง โดยที่ผู้เล่นจะได้ควบคุมอามีเซียผู้พี่เป็นตัวละครหลักที่ต้องคอยปกป้องฮูโก น้องชายที่ป่วยเป็นโรคร้ายที่จะคอยช่วยเหลืออามีเซียได้ในบางครั้ง และเกมการเล่นเองก็ยังมีความเป็นเกมแก้ปริศนาที่อาศัยฟังก์ชันของความเป็นเกมแนวลอบเร้น ที่การตัดสินใจผิดพลาดเพียงไม่กี่ครั้งยังสามารถส่งผลถึงฆาตให้กับชีวิตของทั้งคู่ได้ทันที แต่ถึงแม้เกมจะเรียกได้ว่าถอดแบบมาจาก The Last of Us แทบทุกระเบียด แต่หากไร้ซึ่งแนวทางที่ชัดเจนมันก็ไม่อาจจะเป็นเกมที่ดีได้
ในตลอดทั้งเกมการเล่นผู้เล่นจะได้พบเจอกับปริศนาต่างๆ ให้ต้องขบคิดมากมายในคราบของความเป็นเกมแนวลอบเร้นที่ผู้เล่นสามารถแก้ไขได้ด้วยกลวิธีต่างๆ เพื่อผจญภัยผ่านไปในแต่ละฉากของเกม ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตพฤติกรรมเส้นทางการลาดตระเวนของทหารรักษาการณ์ การโยนหินหรือไหเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และกลไกเฉพาะตัวอื่นๆ ในฉากแต่ละฉากที่มีการผสานเข้ากับการเล่าเรื่องในเกม ซึ่งอามีเซีย ยังมาพร้อมกับหนังสติ๊กที่เป็นอาวุธคู่ใจเพียงหนึ่งเดียวของเธออีกด้วย ที่จะคอยทำหน้าที่ช่วยเหลือในการแก้ไขปริศนา ทั้งแบบที่ง่ายอย่างเช่นการซัดกระสุนหินเข้าใส่จังๆ ที่หัวของศัตรู หรือแบบที่มีความซับซ้อนขึ้นมาหน่อยด้วยใช้กระสุนชนิดต่างๆ ที่อามีเซีย สามารถคราฟต์ขึ้นมาได้จากการทรัพยากรที่เก็บสะสมมาตามรายทาง
ซึ่งกระสุนรูปแบบต่างๆ เหล่านี้ก็มีส่วนสำคัญกับกลไกการเล่นหลักที่เป็นจุดขายของตัวเกมอย่างยิ่งยวด นั่นคือเหล่ากองทัพหนูอันมหาศาลที่จะคลาคล่ำไปทั่วทั้งฉาก และสิ่งเดียวที่พวกมันเกรงกลัวก็คือไฟเท่านั้น ซึ่งในพื้นที่ของเกมที่เหล่าหนูปรากฏตัวออกมาอามีเซีย และฮูโก จะต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีแสดงสว่างเท่านั้น และยังต้องคอยลักลอบหลบหนีหรือจัดการเหล่าอินควิซิชั่น พร้อมกับต้องหาทางเอาตัวรอด จากเหล่ากองทัพหนูมรณะไปพร้อมกันด้วยการใช้กระสุนชนิดต่างๆ ที่อามีเซียมี ไม่ว่าจะเป็นการใช้กระสุนเพลิงเพื่อจุดคบไฟในสถานที่ที่ไม่สามารถไปได้ หรือใช้กระสุนน้ำเพื่อดับไฟจากคบเพลิงของเหล่าทหารลาดตระเวน ซึ่งเมื่อเกมดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ อามีเซีย ก็จะมีกระสุนต่างๆ ให้ใช้งานมากขึ้น และยังมีจุดประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนอีกด้วย ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ได้ตั้งอยู่บนการออกแบบฉากของเกมที่มีความเป็นเส้นตรงค่อนข้างมาก แต่มันก็ยังมีที่ว่างอยู่พอประมาณที่จะให้ผู้เล่นได้ค้นหาวิธีการในการแก้ปริศนาในแบบฉบับของตัวเองได้อย่างสนุกมือ
ฉากการเล่นของ A Plague Tale: Innocence มีความเป็นเส้นตรงที่ค่อนข้างมาก ด้วยการที่ตัวเกมเองก็มีเรื่องราวที่ต้องการจะเล่าอย่างตรงไปตรงมาด้วยเวลาและทรัพยากรที่จำกัดของทีมงาน จนทำให้บางทีก็รู้สึกได้ว่าองค์ประกอบบางอย่างของเกมมันควรจะมีบทบาทมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นกลไกที่การพึ่งพาอาศัยของอามีเซียและฮูโก กลไกการเล่นที่เพิ่มเสริมมาจากเหล่าตัวละครประกอบอื่นๆ เองก็มาให้ได้ใช้งานเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เช่นเดียวกับระบบการอัปเกรดอุปกรณ์ต่างๆ ของอมีเซียเองก็ไม่ได้มีบทบาท และความสำคัญมากนัก แต่ถึงกระนั้นเกมก็มีการดำเนินเรื่องที่พอจะเข้ามาช่วยเติมเต็มในสิ่งเกมขาดไปได้ แม้มันจะดำเนินเรื่องราวตามสูตรสำเร็จ แต่มันก็มีช่วงจังหวะจะโคนให้ผู้เล่นได้เอาใจช่วยเหล่าตัวละคร มีปริศนาที่เกินคาดเดา ที่ถูกเติมแต่งด้วยองค์ประกอบทางด้านงานศิลป์อันยอดเยี่ยม
A Plague Tale: Innocence ไม่ได้เป็นเกมที่มาพร้อมกับภาพกราฟิกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเหมือนกับเกมชั้นนำเกมอื่นๆ และก็มีจุดขายทางด้านเทคโนโลยีเพียงแค่เหล่าหนูที่เกมสามารถประมวลผลให้พวกมันมาปรากฏอยู่ในฉากได้เป็นจำนวนมหาศาลเท่านั้น แต่ตัวเกมกลับสามารถสร้างงานภาพที่น่าตื่นตาออกมาได้ ด้วยจัดวางองค์ประกอบภาพแบบตามสัดส่วนจริง ที่มีการจัดวางสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมเพื่อโชว์ศักยภาพทางด้านการออกแบบฉากที่เป็นการเนรมิตจากภาพวาดได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นฉากซากปรักหักพังจากภัยสงคราม เศษซากจากสนามรบที่ถูกเหล่าหนูเข้าครอบครอง ทุ่งสังหารที่เต็มไปด้วยซากศพ ปราสาทอันแสนโออ่า มหาวิหารอันตระการตา และฉากต่างๆ อีกมากมาย ที่มาพร้อมกับโทนภาพอันแสนมืดหม่นเพื่อสะท้อนภาพของความสิ้นหวัง ที่แม้มันจะไม่ได้มีความแตกต่างทางภูมิทัศน์ที่สามารถเห็นได้ชัดและก็ไม่ได้มีขนาดของฉากที่กว้างมากนัก แต่ทีมงานก็รู้เป็นอย่างดีกว่าพวกเขาจะสามารถดึงประสิทธิภาพในการออกแบบฉากออกมาได้อย่างไร
และนอกจากองค์ประกอบศิลป์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว เพลงประกอบก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้อารมณ์ในการเล่าเรื่องของ A Plague Tale: Innocence สื่อถึงตัวผู้เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน และก็เช่นเดียวกับองค์ประกอบในส่วนอื่นๆ ทีมงาน Asobo Studio รู้ถึงขีดจำกัดของพวกเขาเป็นอย่างดีแม้กระทั่งในส่วนของการสร้างดนตรีประกอบของเกมที่ใช้เชลโล่เป็นเครื่องดนตรีหลัก และเครื่องสายอื่นๆ เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นในการเนรมิตอารมณ์ดนตรีที่หลากหลายตลอดทั้งเรื่องราวการผจญภัยใน A Plague Tale: Innocence ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆ มากมาย
A Plague Tale: Innocence เป็นหนึ่งในบทพิสูจน์ที่ว่า บางครั้งเกมบางเกมก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องมีสิ่งต่างๆ ที่ก้าวล้ำตามสมัยนิยมก็สามารถที่จะเป็น “เกมที่ดี” ได้ หากมันมีการออกแบบที่ดีพอที่เกิดจาการที่ทีมงานรู้ได้ถึงศักยภาพของตนเองในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ A Plague Tale: Innocence ไม่ได้เป็นเกมที่มีกราฟิกที่ก้าวล้ำ ไม่ได้มีเกมการเล่นที่ลึกซึ้ง ไม่ได้มีระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ชาญฉลาด ไม่ได้มีโลกเกมที่เปิดกว้าง แต่เชื่อเถอะว่ามันคือเกมที่ยังสามารถเล่นได้อย่างสนุกและเพลิดเพลิน แม้จะมีบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะยังไม่สมบูรณ์ แต่มันก็เพียงพอสำหรับการเป็นเกมที่จะมอบประสบการณ์ของเกมแนวลอบเร้นที่หายไปนาน