โยโกะ ทาโร่ (Yoko Taro) ผู้กำกับของเกมในแฟรนไชส์ Drakengard (หรือ Drag-On Dragoon ในภาษาญี่ปุ่น) และ NieR ได้เคยบอกเอาไว้บนเวทีสักเวทีหนึ่งว่า เขาสร้างเกมพวกนี้ขึ้นมาในฐานะเกมเพี้ยนๆ เพื่อให้คนเพี้ยนๆ ได้มาเล่น และมันก็ไม่ได้เกินเลยกว่าที่เขากล่าวไปแต่อย่างใด เพราะกว่ามันจะผ่านการบ่มเพาะความเพี้ยนจนกลายเป็นที่ยอมรับและเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง มันก็ต้องรอจนถึงการมาของ NieR: Automata ที่ประสบความสำเร็จในวงกว้าง ผ่านห้วงสุญญากาศมาเป็นเวลานับทศวรรษ จนทำให้เกมเพี้ยนที่เป็นภาคต้นอย่าง ‘Nier Replicant’ และ ‘Nier Gestalt’ ได้ถูกนำกลับมาทำใหม่อีกครั้งในเวอร์ชันพาวเวอร์อัปที่มาพร้อมกับชื่อเพี้ยนๆ ว่า NieR Replicant ver.1.22474487139…
เกม NieR เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ใหม่ของ Square Enix ในตอนที่มันได้ออกวางจำหน่ายแบบเพี้ยนๆ เมื่อปี 2010 ด้วยการเป็นเกมๆ เดียวที่ได้ออกวางจำหน่ายออกเป็นสองเวอร์ชันได้แก่ Nier Replicant ที่ออกวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นและ Nier Gestalt ที่ออกวางจำหน่ายในสากลโลก แต่นอกจากภาษาของตัวเกมที่แตกต่างกันแล้ว ตัวเกมยังได้มีการปรับเปลี่ยนตัวละครเอกและบริบทต่างๆ จากความต้องการของผู้จัดจำหน่ายเกม ที่อยากทำให้เนื้อหามีความเหมาะสมกับความนิยมในตลาดที่เกมออกวางจำหน่ายและค่านิยมตามยุคสมัย จนเป็นผลให้เกม Nier Replicant มาพร้อมกับตัวละครเอกที่เป็นพี่ชายและน้องสาว ที่ตัวเอกของเกมได้รับการออกแบบให้มีความเป็นในสไตล์เกมสวมบทบาทของญี่ปุ่นตามสไตล์ของเกมจาก Square Enix ในขณะที่ Nier Gestalt ได้มีเปลี่ยนตัวละครเอกได้กลายมาเป็นพ่อและลูกสาวแทน พร้อมกับการออกแบบตัวละครของผู้พ่อที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมแอ็กชันยอดนิยมในยุคที่เกมออกวางจำหน่าย
นอกจากการวางจำหน่ายแบบเพี้ยนๆ แล้วต้นกำเนิดของแฟรนไชส์ NieR เองก็กลับเพี้ยนยิ่งกว่า เพราะเดิมทีแล้วตัวเกมเคยมีแผนที่จะเป็นเกมภาคต่อของเกมในแฟรนไชส์ Drakengard เกมแนวแอ็กชันแฟนตาซีสุดเพี้ยนผลงานชิ้นก่อนหน้าของผู้กำกับโยโกะ ทาโร่ แต่สุดท้ายปลายทางของมันก็กลับกลายมาเป็นเกมภาคแยกที่กำเนิดมาจากฉากจบสุดเพี้ยนในแบบที่ 5 ท่ามกลางฉากจบอันหลากหลายฉากของเกม Drakengard ภาคแรก มันเป็นฉากจบสุดเพี้ยนที่ไม่ว่าใครก็คงคาดไม่ถึงในยุคสมัยที่เกมได้ออกวางจำหน่าย ด้วยการที่เกมได้พาตัวละครเอกและมังกรคู่ใจจากโลกเกมแฟนตาซีหลุดข้ามมิติมายังกรุงโตเกียวในประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบันเพื่อต่อสู้กับบอสตัวสุดท้ายของเกม ก่อนที่การต่อสู้จะปิดฉากลงด้วยโศกนาฏกรรมพร้อมการจากไปของเหล่าผู้มาจากต่างมิติที่ได้สลายหายไปโดยทิ้งเชื้อร้ายไว้ให้กับโลกจนก่อให้เกิดเป็นเรื่องราวโศกนาฏกรรมบทใหม่และได้กลายเป็นเกม NieR ภาคแรกขึ้นมานั่นเอง
เมื่อตอนที่เกม NieR ได้ออกวางจำหน่ายไปเมื่อปี 2010 แม้จะเป็นเกมแฟรนไชส์ใหม่จากค่ายดังอย่าง Square Enix แต่ผลตอบรับของมันก็ไม่ได้ออกมาดีนักเฉกเช่นเดียวกับเกมในแฟรนไชส์ Drakengard มันยังคงเป็นเกมทุนต่ำที่มาพร้อมกับเกมการเล่นที่ตกยุคในทุกๆ ด้าน ทั้งภาพกราฟิกที่ไม่สมกับเป็นเกมบนเครื่อง PlayStation 3 โลกเกมที่ดูไร้ชีวิตชีวา และการเล่นที่ธรรมดาเสียจนน่าเบื่อที่เป็นผลของการต่อยอดมาจากเกมในแฟรนไชส์ Drakengard ที่ถูกปรับแต่งใหม่เพื่อให้มันเข้ากับรูปแบบการนำเสนอของดเกมที่เปลี่ยนไป ซึ่งเดิมทีแล้วมันก็เป็นความตั้งใจของตัวผู้สร้างนับตั้งแต่ที่ได้เริ่มสร้างเกม Drakengard ที่พยายามจะนำเอาเกมการเล่นแบบ ‘Musou’ ของเกม Dynasty Warriors มาผสมผสานเข้ากับเกมขับเครื่องบินอย่าง Ace Combat ที่เปลี่ยนจากเครื่องบินมาเป็นมังกรด้วยคุณภาพที่ย่ำแย่กว่าในทุกด้าน ซึ่ง NieR ได้ตัดระบบการเล่นในส่วนของการขับขี่มังกรออกไป และแทนที่ด้วยการตัดสลับฉากมุมกล้องสุดเพี้ยนที่ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของแฟรนไชส์มาจนถึงเกมในภาค NieR: Automata ในท้ายที่สุด
แต่ท่ามกลางความย่ำแย่ของระบบการเล่นและงานภาพกราฟิกที่ล้าสมัย สิ่งที่ทำให้ NieR กลายเป็นเกมที่ได้รับการพูดถึงมาโดยตลอดท่ามกลางกลุ่มคนเพี้ยนที่ชื่นชอบผลงานของโยโกะ ทาโร่ก็คือเนื้อเรื่องสุดเพี้ยนที่คอยกระแทกจิตใจ และตั้งคำถามกับตัวผู้เล่น เรื่องราวของเกมเต็มไปด้วยปรัชญาและการใช้ชีวิตที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาหลอมรวมเข้าไปอยู่ในวิดีโอเกมได้ และยังผสานเข้ากับเรื่องราวการผจญภัยของเหล่าตัวละครได้อย่างแนบเนียนที่พาให้ผู้เล่นรู้สึกผูกพันกับตัวละคร รวมไปถึงวิธีการจบเกมสุดเพี้ยนที่ต้องมีหลายฉากจบ และต้องผ่านการเล่นหลายรอบเพื่อให้ได้พบฉากจบที่แท้จริงจนกลายเป็นลายเซ็น และเอกลักษณ์ที่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องพูดถึง แต่กว่ามันจะได้รับโอกาสใหม่อีกครั้งในการแนะนำตัวให้โลกรู้จัก มันก็ต้องจนถึงกระทั่งการมา NieR: Automata ที่ได้ทำให้โลกได้รู้จักว่าเรื่องราวของ NieR และผลงานของโยโกะ ทาโร่มันมีดีมากกว่าแค่ที่ตาเห็น
NieR Replicant ver.1.22474487139… จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยความสำเร็จของเกม NieR: Automata มันคือเกมที่เป็นการนำเอาเกม NieR กลับมาทำใหม่อีกครั้งที่ไม่ใช่ทั้งการรีเมกและการรีบูต แต่มันเป็นเกมที่นำเอาโครงสร้างของเกมในฉบับดั้งเดิมมาสร้างใหม่ทั้งหมดพร้อมด้วยการอัปเกรดหลายสิ่งหลายอย่างให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะระบบการต่อสู้ในเกมที่ได้รับการปรับแต่งให้มีความทันสมัยและสมกับเป็นเกมที่มีความเป็นแอ็กชันมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดีด้วยการที่มันเป็นเพียงแค่เกมเก่าที่ได้รับการพาวเวอร์อัปเท่านั้น มันจึงไม่ได้เป็นเกมที่ดีอย่างที่ควรเป็น หรืออย่างที่แฟนเกมเพี้ยนๆ คาดการณ์กันนัก แต่มันก็พอเพียงพอที่จะมอบประสบการณ์อันสุดพิลึกพิลั่นให้กับผู้เล่นในยุคนี้ได้โดยที่ยังคงไว้ซึ่งอารมณ์ร่วม และความรู้สึกในแบบอย่างที่ตัวผู้สร้างอยากจะให้เป็น
แม้เกมจะมีการอัปเกรดภาพกราฟิกให้ดีขึ้นกว่าเกมในภาคต้นฉบับแต่มันก็ไม่อาจเรียกได้ว่า NieR Replicant ver.1.22474487139… มีกราฟิกที่ทันสมัยเหมือนกับเกมอื่นๆ แม้งานศิลป์การออกแบบองค์ประกอบฉากบางอย่างจะทำออกมาได้ดีกว่าเดิม แต่ในส่วนของรายละเอียดต่างๆ นั้นมันก็ยังคงดูหยาบ รวมไปถึงแอนิเมชันอื่นๆ นอกเหนือจากท่วงท่าของการต่อสู้ที่ดูแข็งและโบราณที่แทบจะเหมือนเกมภาคต้นฉบับไม่มีผิดเพี้ยน และเกมก็ยังพร้อมสร้างความทรมานให้กับผู้เล่นเหมือนกับเกมต้นฉบับทุกประการ เพื่อที่สิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการนำพาผู้เล่นไปสู่เรื่องราวอันหวานขมในบทบรรเลงเพลงเศร้า และโศกนาฏกรรมที่เหล่าตัวละครในจะต้องพบเจอในการเดินทางที่เราจะไม่มีวันลืมไปตลอดกาล
สิ่งที่ทำให้เกมหรือสื่อใดๆ ก็ตามในกระแสหลักของประเทศญี่ปุ่นต่างจากสื่อของทางฝั่งตะวันตกก็คือการที่พวกเขาสร้างสรรค์ผลงานออกมาในเชิงศิลปะมากกว่าสิ่งบันเทิง ที่เราจะเห็นได้จากบรรดาภาพยนตร์, แอนิเมชัน, และวิดีโอเกม ที่มักไม่ได้นำเสนอเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความรื่นรมย์และความบันเทิงหรือความมันสะใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่มันมักจะเล่นกับอารมณ์ และความรู้สึกของตัวผู้เสพสื่อในเชิงจิตวิญญาณ และหลายครั้งมันก็พยายามบดขยี้จิตใจของตัวผู้เสพจนจะตายไปเสียให้ได้ ที่น่าจะเป็นผลมาจากวัฒนธรรมของประเทศที่ได้สะท้อนออกมาในผลงานต่างๆ และจากสิ่งเหล่านี้มันก็อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ NieR ไม่ได้เป็นสื่อบันเทิง แต่มันเป็นงานศิลปะในรูปแบบของวิดีโอเกมที่สร้างความรู้สึกต่างๆ พร้อมตั้งคำถามให้กับตัวผู้เล่นผ่านเกมเพลย์, การออกแบบเกม, และวิธีการที่เกมเลือกใช้ในการเล่าเรื่อง รวมไปถึงสิ่งละอันพันละน้อยต่างๆ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่สร้างความสนุกเท่านั้นแต่มันยังคอยตั้งคำถามไปยังตัวผู้เล่นอีกด้วย
เรื่องราวของ NieR เป็นการสานต่อจากฉากจบของ Drakengard โดยที่เกมได้เริ่มต้นด้วยการพาเราไปรู้จักกับตัวละครเอกของเวทีอย่าง ‘เนียร์’ (Nier) และ ‘โยนาห์’ (Yonah) สองพี่น้องที่เหลือรอดอยู่เพียงลำพังโลกในอนาคตอันใกล้ที่กำลังล่มสลาย พร้อมอาการป่วยอันแสนแปลกประหลาดของโยนาห์ และท่ามกลางโลกที่กำลังผุพังนั้นมันยังเต็มไปด้วยเหล่าสิ่งมีชีวิตลึกลับร่างเงา (Shade) ที่หมายปองชีวิตของทั้งคู่ด้วย แต่แล้วเรื่องราวของเนียร์และโยนาโศกนาฏกรรมก็ถูกตัดจบลงโดยที่เรายังไม่ทันจะได้ทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆ ก่อนที่เกมพาเราไปยังโลกอนาคตในอีก 1,412 ปีต่อมา เราได้พบกับเนียร์และโยนาห์อีกครั้งในโลกหลังอารยธรรมล่มสลายที่ทุกสิ่งอย่างเหมือนจะเป็นการกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง โยนาห์ยังคงเป็นเด็กสาวที่มีอาการป่วยอันผิดปกติติดตัวอยู่เช่นเดิม และโลกก็ยังเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตร่างเงาที่คอยกลืนกินเหล่าประชากรที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดเฉกเช่นในช่วงเวลาก่อนหน้า และการออกผจญภัยของเนียร์เพื่อช่วยน้องสาวของเขาก็ได้เริ่มต้นขึ้น
หาก NieR: Automata คือเรื่องราวที่ว่าด้วยการค้นหาความหมายของการใช้ชีวิต, การมีตัวตน, และการทำความเข้าใจในสภาวะที่ไร้ซึ่งความหมาย NieR ภาคแรกและภาคใหม่ก็คือเรื่องราวที่ว่าด้วยการค้นหาความหมายของความเป็น ‘มนุษย์’ อะไรที่ทำให้เราแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือเราเองต่างหากที่กำลังเล่นเป็นบทบาทของพระเจ้า เรื่องราวเชิงปรัชญาได้ถูกร้อยเรียงผ่านเกมการเล่นกว่าสี่สิบกว่าชั่วโมง ผ่านฉากจบสี่รูปแบบที่ผู้เล่นต้องเล่นเกมมากกว่าหนึ่งรอบเพื่อให้ได้มา ที่แม้จะเป็นเกมการเล่นในรูปแบบเดิมแต่มันก็จะให้อารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกัน โดยในการเล่นรอบที่สองต่อจากฉากจบแรกเกมจะทำให้เราได้รู้เรื่องราวปูมหลังของเหล่าตัวละครมากขึ้นพร้อมสร้างมุมมองทางความคิดให้กับผู้เล่นที่จะทำให้เรามองโลกของเกมแตกต่างออกไปจากเดิมจนนำไปสู่ฉากจบของเกมในรูปแบบที่สอง ตามมาด้วยการเล่นในรอบที่สามที่จะพาผู้เล่นไปพบกับฉากจบแบบที่สามและสี่ที่จะแตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้เล่น และแถมท้ายกับฉากจบที่ไม่มีในเกมภาคต้นฉบับที่เป็นสารจากทีมพัฒนาถึงแฟนเกมที่ร่วมเดินทางกับแฟรนไชส์นี้มาอย่างยาวนาน และยังเป็นฉากจบที่แท้จริงของฉากจบที่แท้จริงที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
โดยพื้นฐานแล้ว NieR ก็คือเกมแนวแอ็กชันสวมบทบาทที่ผู้เล่นจะได้ออกผจญภัยในโลกเกมเพื่อหาทางช่วยเหลือโยนาห์ ผ่านสถานที่ต่างๆ ที่เกมใช้เป็นฉากหลังประหนึ่งละครเวทีที่ให้อารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ผู้เขียนเชื่อว่าหากใครที่ได้มาสัมผัสกับเกมนี้เป็นภาคแรกก็จะได้พบกับความประหลาดใจแน่นอน เพราะฉากของเกมมันเต็มไปด้วยความเพี้ยนและให้อารมณ์ (รวมไปถึงเกมการเล่น) ที่แตกต่างกันออกไปด้วย แม้มันจะไม่ได้เป็นสถานที่ที่กว้างใหญ่เต็มไปด้วยรายละเอียดเหมือนกับเกมในระดับแถวหน้า แต่สถานที่เหล่านี้ได้สร้างความผูกพันให้กับผู้เล่นและเรื่องราวได้เป็นอย่างดี และเกมก็ยังมาพร้อมกับ ‘ไซด์เควส’ ต่างๆ ที่ยังคงถอดแบบมาจากต้นฉบับแทบทุกประการ
และด้วยการที่เกมยังคงถอดแบบมาจากเกมต้นฉบับสิ่งที่ยังคงสร้างความรำคาญใจให้กับผู้เล่นก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะเป็นไซด์เควสตามสไตล์เกมสวมบทบาทของญี่ปุ่น (JRPG) ที่มักจะไม่ค่อยจะมีสลักสำคัญกับเรื่องราวเท่าไหร่นัก และยังมีเกมการเล่นที่ไม่สนุก (ทั้งยังสร้างความรำคาญอีกด้วย) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมันก็มักจะเป็นเควสที่ผู้เล่นเพียงแค่ต้องวิ่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งหรือไปหาไอเทมบางอย่างมาให้ได้ตามจำนวนที่กำหนดเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดีถึงแม้มันจะมีไซด์เควสที่มีความน่าสนใจไม่มากนัก แต่ผู้เขียนเชื่อว่าในจำนวนน้อยของทั้งหมดนั้นมันจะมอบเรื่องราวที่จะตราตรึงใจให้กับผู้เล่นที่ทนผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน
แม้เกมจะมีการปรับเปลี่ยนระบบการต่อสู้ของเกมให้มีทันสมัยมากขึ้นกว่าเกมในภาคต้นฉบับ (ที่จัดว่าแย่) แต่มันก็ยังไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น ตัวเกมไม่ได้มีระบบการคอมโบที่ซับซ้อนเหมือนเกมในภาค NieR: Automata ที่เป็นผลงานการพัฒนาของ PlatinumGames ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำเกมสไตล์แอ็กชันอยู่แล้ว แต่ NieR Replicant ver.1.22474487139… เป็นผลงานของทีมงานหน้าใหม่อย่าง Toylogic ที่เข้ามาช่วยเหลือในการพัฒนาตัวเกมในภาคนี้ให้เป็นเวอร์ชันที่ได้รับการปรับปรุงและพาวเวอร์อัปขึ้นด้วยโครงสร้างเดิมของตัวเกมที่ธรรมดาและไม่มีอะไรโดดเด่นไปกว่าเกมแอ็กชันสวมบทบาททั่วไป
ระบบการต่อสู้ของเกมมีการโจมตีหนัก-เบาพร้อมระบบการปัดป้อง และการหลบหลีกตามสไตล์เกมแอ็กชันทั่วไป แต่มันก็มีรูปแบบคอมโบที่น้อยจนทำให้ผู้เล่นรู้สึกซ้ำซากได้ง่ายด้วยการศัตรูในเกมเองก็ไม่ได้มีความท้าทายและก็ไม่ได้มีรูปแบบที่หลากหลายที่ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการต่อสู้ แม้เกมจะมีระบบยิงต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ (เหมือนใน NieR: Automata) และมีการใช้ท่าเวทมนตร์เสริมที่มีหลากหลายรูปแบบ (ที่ในเกมเรียกว่า Sealed Verse) แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ระบบการต่อสู้สนุกขึ้นเท่าไหร่นัก และเหมาะสำหรับการใช้เพื่ออำนวยความสะดวกมากกว่าต่อสู้เป็นหลัก รวมไปถึงเวทมนตร์บางอย่างก็แทบจะนึกหาวิธีการใช้งานให้ได้ประโยชน์ไม่ออก แม้ในช่วงครึ่งหลังของเกมจะมีการเพิ่มเติมระบบการสับเปลี่ยนอาวุธอีกสองชนิดเข้ามาให้เลือกใช้งาน แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกับภาพรวมมากนักรวมไปถึงการออกแบบการต่อสู้ของบอสในเกมมันที่แม้จะกลไกที่ผู้เล่นต้องอ่านรูปแบบการโจมตี แต่มันก็ไม่ได้มีความยากในแบบที่เล่นสนุก แต่อย่างไรก็ดีการที่เกมมีอาวุธหลายชิ้นให้ออกค้นหาและให้เลือกใช้มันก็อาจจะมาพร้อมกับข้อดีอยู่บ้างเพราะอาวุธแต่ละชิ้นมาพร้อมกับเรื่องราวปูมหลังที่น่าสนใจ แม้ว่าในส่วนของการต่อสู้นั้นมันแทบจะหาความแตกต่างไม่ได้เลยก็ตาม
ด้วยการที่ตัวเกม NieR Replicant ver.1.22474487139… เคลมตัวเองว่าเป็นเกมสวมบทบาท (Action RPG) แต่องค์ประกอบในส่วนของการพัฒนาตัวละครเองมันก็ยังทำออกมาได้ไม่ดี โดยเกมจะมีระบบที่ชื่อว่าระบบการสะสมคำพูด (Word) ที่เสริมเข้ามานอกจากการเก็บค่าประสบการณ์จากการกำจัดศัตรูเพียงอย่างเดียว ซึ่งคำพูดเหล่านี้ก็ได้มาจากการสังหารศัตรูภายในเกมเช่นกันแต่มันจะได้มาจากการสุ่มจากการสังหารเหล่าศัตรูในสถานที่ต่างๆ ที่ผู้เล่นสามารถนำคำพูดต่างๆ ที่ถูกบันทึกลงในคัมภีร์สีขาว (Grimoire Weiss) หนึ่งในเพื่อร่วมเดินทางของเนียร์มาใช้เพิ่มพลังให้กับอาวุธหรือเวทมนตร์รวมไปถึงท่ามาตรฐานอย่างการกลิ้งหลบและการป้องกันก็ได้ แต่สุดท้ายตัวคำพูดไม่ได้ส่งผลกับตัวเกมอย่างที่มันควรจะเป็นแต่อย่างใด
แต่เกมก็มีสิ่งที่จะช่วยให้เราสามารถก้าวข้ามผ่านความธรรมดาดังกล่าวไปได้ หนึ่งในนั้นคือเรื่องราวการเดินทางของเหล่าตัวละครในเรื่องไม่ว่าจะเป็นตัวละครเอกอย่างเนียร์ที่เป็นตัวแทนของผู้เล่น, ‘ไวส์’ (Grimoire Weiss) คัมภีร์เวทมนตร์จอมขวางโลกที่เนียร์พบโดยบังเอิญ, ‘ไคเน่’ (Kainé) นักรบสาวในชุดชั้นในที่มาพร้อมกับอดีตอันดำมืดและพร้อมจะสบถทุกคำหยาบตลอดเวลา, และ ‘อีมิล’ (Emil) หนุ่มน้อยที่ต้องเสียร่างกายไปจากโศกนาฏกรรมบางอย่าง เหล่าตัวละครทั้งหมดนี้ได้คอยขับเคลื่อนเรื่องราวของเกมตลอดเวลาผ่านการสนทนาทั้งในฉากการเดินทางและในฉากคัตซีนต่างๆ จนทำให้เราต่างหลงรักตัวละครเหล่านี้และผูกพันกับพวกเขาไปอย่างไม่รู้ตัว และในเกมเวอร์ชันใหม่นี้บทพูดทั้งหมดของเกมยังได้รับการบันทึกเสียง.ใหม่และมีเสียงพากย์ตัวละครในฉากเกือบทั้งหมดอีกด้วย
โดยอีกองค์ประกอบหนึ่งที่คอยค้ำจุนตัวเกมมาโดยตลอดก็คือเพลงประกอบของตัวเกมที่ทำให้ NieR ก็คงเป็น NieR ไม่ได้หากขาดเพลงประกอบอันสุดไพเราะของ ‘เคย์อิชิ โอคาเบะ’ (Keiichi Okabe) ผู้แต่งเพลงประกอบจาก NieR ภาคต้นฉบับและ NieR: Automata ที่ได้ทำให้เพลงประกอบของแฟรนไชส์นี้กลายเป็นจุดขายไปแล้ว ซึ่ง NieR Replicant ver.1.22474487139… ได้มีการนำเอาเพลงประกอบจากภาคต้นฉบับมาร้อยเรียงทำนองใหม่ให้มีความทันสมัยมากขึ้น และมันก็ช่วยเพิ่มอารมณ์ร่วมให้เกมการเล่นอันสุดแสนจะธรรมดา (และน่าเบื่อในบางครั้ง) มีความน่าสนใจมากขึ้น และยังมาได้ถูกในจังหวะเวลาที่ควรมีอีกด้วย แม้เพลงประกอบบางเพลงจะมีการถูกใช้ซ้ำในเกมจนสังเกตได้ก็ตาม แต่ในทุกครั้งที่มันทำงานมันก็ช่วยเสริมอารมณ์ร่วมได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว
NieR Replicant ver.1.22474487139… อาจเป็นเกมที่เราไม่อาจเรียกมันได้ว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งอย่างที่แฟนๆ ต้องการ มันยังคงเต็มไปด้วยความน่าเบื่อ, ความน่ารำคาญ, ความแปลกประหลาดที่มีในสิ่งที่ไม่ควรมี, และยังคงขาดไปหลายสิ่งที่เกมสมัยใหม่พึงได้ แต่หากเรามองมันในมุมของศิลปะ หลายสิ่งหลายอย่างของเกมภาคนี้ได้ถูกคงไว้ในแง่ของงานศิลป์มันยังคงเป็นเครื่องมือในการสื่ออารมณ์ที่ตัวผู้สร้างต้องการได้เหมือนเดิมที่มาพร้อมกับการปรับปรุงให้เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น และส่วนที่หลงเหลืออยู่ในตัวเกมมันก็อาจจะเป็นเจตนาของทางผู้สร้างก็เป็นได้ที่ต้องการให้เราได้ร่วมเดินทางไปกับเหล่าตัวละครในเกมผ่านห้วงอารมณ์แห่งความรู้สึกมากมายไปพร้อมกับการตามหาความหมาย นิยามของคำว่า “มนุษย์” ที่ผู้เขียนเชื่อว่าการเดินทางอันแสนทรมานผ่านเกมการเล่นที่ต้องจบเกมหลายรอบเพื่อให้ไปถึงจุดจบที่แท้จริงของเกมนั้นจะคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปอย่างแน่นอน