Spoiler Alert บทความชิ้นนี้เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของเกม Shadow of the Tomb Raider
“ลาล่า เธอหาใช่ผู้เดียวที่จักทำสิ่งใดได้ เธอหาได้รู้ไม่ว่าความฉิบหายนี้ล้วนก่อเกิดขึ้นจากเธอ และสำคัญ ทุกสิ่งอย่างล้วนมิได้หมุนรอบตัวเธอ” โจนาห์ – มิตรสนิทแต่เพียงผู้เดียวของครอฟต์รุ่นลูก เอื้อนเอยด้วยท่าทีที่เหลืออดเหลือทนกับความดื้อรั้นในตัวเพื่อนรักของเขา และนี้คือคำสำคัญที่จะเป็นหมุดหมายใหม่ ที่จะสลัก ประจักษ์ไปยังชั่วชีวิตของนักล่าสมบัติสาว – ลาล่า ครอฟต์ ไปตลอดกาล
หากเรามองย้อนไป จากสาวน้อย อ่อนเยาว์ต่อโลกภายนอกสุดแสนแข็งกร้าว กลับกลายเป็นสาวกร่านโลก ที่น้อมรับความโศกเศร้า นำเอามาเป็นเชื้อไฟ ไฟแค้นอันแผดเผา มอดไหม้ จิตใจของเธอ ไฟที่ได้สร้างเงามืด ฉายทับไปยังตัวตนของเธอ ดังชื่อ ‘เงื้อมเงาทมิฬแห่งนักผจญสุสาน’ ได้อย่างไรกัน?
หลังจากเธอสูญเสียพ่อ ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของครอฟต์ ในช่วงอายุเพียงเก้าขวบเศษ นั้นกลายเป็นความสูญเสียที่สร้างตัวตนของเธอ ครอฟต์ผู้พ่อ ผู้เป็นทั้งผู้บุพการี ผู้ปลูกฝั่ง และต้นแบบของเธอ ความสูญเสียสร้างแรงผลักดันให้เธอกลายเป็นนักโบราณคดี ตามรอยต้นไม้อันผลร่วงหล่นหาได้ไกลต้นไม่ และเมื่อเธอทราบต้นเหตุของความสูญเสียมาจากองค์กรนามว่า ‘ตรีเอกานุภาพ’ แรงผลักดันในชีวิตของเธอก็แปรเปลี่ยนไป จากการออกล่าวัตถุโบราณเพราะนั้นเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่เธอหลงใหล สิ่งที่เธอทุ่มเทให้ทั้งชีวิตที่เหลืออยู่จากนั้นคือ สืบสาวความเป็นไปขององค์กรต้นเรื่อง และแน่นอน ‘การแก้แค้น’ ต่อบุคคลซึ่งนำความสูญเสียมาเยือนครอบครัวอันเป็นที่รัก
“เจ้าครอฟต์ผู้ลูกนั้นดูท่าทางคล่องแคล่วกว่าผู้พ่อ แต่กลับกัน เธอดูท่าทางจะใช้อารมณ์แทนที่จะใช้สมองมากกว่าพ่อของเธอเสียอีก ถึงแม้ว่าเธอเฉลียวฉลาด แต่หากเธอมิได้สนใจใคร่รู้ถึงความหมายในสิ่งที่เธอตามหาอีกต่อไป เธอดูจะเป็นคนประเภทกล้าเสี่ยงมากกว่าได้ และตอนนี้เธอคงจะไล่ล่าสิ่งที่ครอบงำเธออยู่” เอกสารรายงานของตรีเอกานุภาพเกี่ยวกับตัวครอฟต์
ครอฟต์ผู้ลูกนั้น ใช้ชีวิตโดยการใช้ความ Obsession เป็นแรงผลักดันหลัก Obsession นั้นคือความหลงใหล แต่อีกความหมายนั้นก็คือ ‘การถูกครอบงำ’ จากความหลงใหลของเธอที่มีต่อประวัติศาสตร์ สิ่งที่เป็นความลับในหน้าประวัติศาสตร์ รวมไปถึงสิ่งลี้ลับ อันซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เพื่อต้องการค้นหาความหมาย ต่อเติมหน้าประวัติศาสตร์ที่จางหายไปตามกาลเวลา กลับกลายเป็นทุกสิ่งที่เธอกระทำ เพียงเพื่อต้องการ ‘ล้างแค้น’ ให้บิดาของเธอเพียงเท่านั้น ซึ่งจากคำกล่าวของตรีเอกานุภาพเกี่ยวกับตัวครอฟต์ นั้นเป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมว่า ทุกคนรอบตัวเธอ แม้กระทั่งศัตรูคู่อาฆาตของเธอ ยังทราบในความเปลี่ยนแปลงของตัวเธอ น่าขันนัก ที่ตัวเธอหาได้รู้ตนเองไม่ เธออ่านเอกสารดังกล่าว ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ราวกับว่า พวกเขาเหล่านั้นกล่าวสิ่งที่ไม่ถูกต้องตรงตามความเป็น ‘เธอ’ เลยแต่เพียงเล็กน้อย
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าขันอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะครอฟต์ผู้พ่อนั้นใช้ชีวิตไม่ต่างไปจากผู้ลูก ที่นำเอาความหลงใหลแปรไปให้เป็นแรงขับดันในการใช้ชีวิต ความพินาศ ความฉิบหายที่เกิดขึ้นกับครอบครัว
“ชีวิตของเธอจักเติบโตโดยการที่ไม่มีพ่ออยู่เคียงข้างเธอ!”
“อีกสักหนึ่งเดือน ฉันก็จักกลับมา”
“กี่ครั้งกี่ครา ที่ฉันได้ยินประโยคทำนองนี้ ว่าอีกสักหนึ่งเดือน ฉันก็จะกลับมา” น้ำเสียงของสามีภรรยา โต้ตอบ ฉะฉาน น้ำเสียงต่างไม่พอใจ เธอ ที่เป็นห่วงลูกน้อยของตน เขา ที่สนใจใคร่รู้ในสิ่งที่ครอบงำตน จนมองข้ามครอบครัวของเขาไป
“นี้มันเป็นเรื่องสุดแสนสำคัญ ฉันมิอาจละทิ้ง อีกแต่เพียงใกล้ ฉันจะพบ…”
“คุณนั้นมักพร่ำบอกว่าอีกเพียงใกล้ ความหลงใหลของคุณกำลังกัดกิน กัดกร่อนครอบครัวของเรา”
การถูกครอบงำด้วยแรงแค้น แรงอคติ ล้วนสรรค์สร้างความฉิบหาย เป็นสมการที่ถูกต้องแล้ว เห็นชอบแล้ว หากอคตินั้น บดบังเหตุและผลอันชอบธรรม บิดจิตผู้นั้นให้เบี้ยวบูด ครอฟต์ในร่าง ‘เงื้อมเงาทมิฬแห่งนักผจญสุสาน’ ในทุกการตัดสินใจของเธอ ล้วนผิดแปลก น่าฉงน น่าประหลาดใจไปเสียทุกตัวเลือกของการกระทำแห่งเธอ อย่างการเผชิญหน้า ระหว่างเธอ กับผู้นำสูงสุดของตรีเอกานุภาพ ดร.โดมิเกวซ หากเราพิจารณาถึงตัวตนของเขาโดยไร้ม่านหมอกความอคติต่อภาพลักษณ์ และจุดมุ่งหมายขององค์กรอันเป็นสังกัดของโดมิเกวซ เขามิได้มีความแตกต่างไปจากครอฟต์เพียงแต่น้อย แรงผลักดันของเขาคือ การธำรงเอาไว้ซึ่งครอบครัวและความเป็น ‘บ้าน’ รวมถึงเป้าหมายสูงสุดของเขาในการปกป้อง ‘บ้าน’ อันเป็นที่รักยิ่ง พบพานจุดเกาะเกี่ยวระหว่างเขากับเธอในเรื่อง ‘การทำเพื่อครอบครัว’ และถึงแม้ว่าการสร้างโลกใหม่ของเขาก็คงจะดูสุดโต่ง แต่หากได้ปรากฏว่า ครอฟต์ก็มีแนวคิดที่ต้องการสร้างโลกใหม่เหมือนกัน (จากตอนที่เธอนั้นได้เข้าสู่ร่างเทพแห่งการสรรค์สร้างและทำลาย)
แล้วทั้งคู่แตกต่างกันตรงไหน? เพราะกระบวนการที่ครอฟต์ทำต่อบุคลากรตรีเอกานุภาพ มิได้แตกต่างไปจาก นางพญาจากัวร์อันร้ายกาจ ที่พร้อมฉีกศัตรูเบื้องหน้า ให้ตายห่าคากรงเล็บ โดยมิสนสี่สนแปด แม้ว่าโดยเบื้องลึกของเธอนั้น อาจจะเรียกได้เต็มปากว่าเป็นบุคคลที่จัดอยู่ในประเภท ‘คนดี’ ซึ่งก็มิต่างอะไรกับโดมิเกวซ ที่เขาได้แสดงให้พวกเราเห็นอย่างประจักษ์แล้วว่า เขาก็เป็นบุคคลในประเภทนั้นเช่นเดียวกัน และก็การถูกครอบงำเช่นกัน ที่ได้แปรให้เขา ตกอยู่ในสถานะที่ไม่ต่างอะไรไปจากครอฟต์
และก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าขันอีกเช่นกัน เมื่อทั้งครอฟต์กับโดมิเกวซ ต้องแพ้พ่ายให้กับเด็กอายุอานามอ่อนพรรษากว่าทั้งสองหลายเท่าตัวนัก อย่างอิซลี กษัตริย์คนปัจจุบันของเมืองลับแลแห่งนี้ แม้ว่าเขาต้องสูญเสียมารดา – อูนูราตู น่าแปลกใจ เด็กคนนี้ยังสามารถข่มกลั้นจิตใจของตน มิให้ความโกธากลืนกินครอบงำเขาอย่างที่ครอฟต์เป็น
“มารดาของข้านั้นคือนักสู้ที่แท้จริง” อิซลีกล่าวต่อครอฟต์ เมื่อรู้ว่ามารดาของตนต้องมาตายจากด้วยน้ำมือองค์กรจากโลกภายนอก อิซลีหาได้ฝากรอยน้ำตาไว้ไม่ ยิ่งไปกว่านั้น อิซลีทำการออกคำสั่งให้ผู้ติดตามเตรียมกองทัพให้พร้อมแก่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายในไม่ช้า แสดงอาการถึงเหตุการณ์อันมิสู้ดีที่จะทำให้โลกดับสูญ มากกว่าเรื่องส่วนตัวของตนเสียอีก
เมื่อครอฟต์ผ่านเหตุการณ์ที่ประดังเข้ามาในช่วงชีวิตอันเป็นรอยต่อสำคัญของเธอ เธอได้รับรู้ว่า ทุกอย่างมิได้เวียนหมุนรอบตัวเธอโดยมีเธอเป็นเกาะกลาง ทุกคนล้วนต่อสู้ ล้วนขวนขวายในพื้นที่ ในสถานะ ตามความสามารถที่ตนนั้นทำได้ เธอมิใช่ผู้เดียวที่ต่อกรโดยลำพัง อย่างน้อยที่สุด เธอก็มีโจนาห์ที่ค่อยยื่นมือ ช่วยเหลือครอฟต์เท่าที่จะทำได้ แม้ว่าต้องเสี่ยงอันตรายจากปัจจัยภายนอก รวมถึงปัจจัยภายในตัวของครอฟต์
“ฉันจะทำอย่างไร ถ้าไม่มีเธออยู่ตรงนี้?” ครอฟต์กล่าวด้วยความตระหนักว่าตนมิใช่ผู้เดียวที่ล้วนแบกภาระไว้บนบ่า และมิใช่ผู้เดียวที่ต้องค่อยรับชะตากรรมอันเลวร้าย
อีกทั้งอิซลีที่ถือได้ว่าเป็นบุคคลต้นแบบแสดงให้ครอฟต์ให้เห็นแล้วว่า เราสามารถ ‘ปฏิเสธการถูกครอบงำ’ ได้ หากเราสามารถกดกลั้นไม่ให้อารมณ์เป็นใหญ่ จนครอบงำตัวตนของเรา จนอาจกลายเป็นดังครอฟต์
ทั้งโจนาห์และอิซลีจึงถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหล่อหลอม ขัดเกลา ครอฟต์ให้หลุดพ้นจากภาวะ ‘เงื้อมเงาทมิฬแห่งนักผจญสุสาน’ เปรียบดั่งสุริยุปราคา บุหลันอันสรรค์สร้างเงามืด ได้เคลื่อนคล้อย หลุดลอยออกจากสุริยง ส่งแสงสาดมายังโลกา คลี่คลายห่าเงาดำ คล้ำทมิฬ
“ฉันคิดผิดมาโดยตลอด ฉันเคยคิดว่าการพยายามควบคุมชีวิตของฉัน คือการออกไปทำอะไรที่เกินวิสัยคนธรรมดาเขาทำกัน ฉันคิดว่าฉันต้องแก้ไขทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา ปริศนาใดๆ ในโลกล้วนเหมาะหมายแก่การรักษาไว้ มากกว่าการถูกไขกระจ่าง ฉันก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้พิทักษ์ปริศนาดำมืดเหล่านั้น ฉันไม่ทราบแน่ชัดว่าในอนาคตเบื้องหน้า จักมีสิ่งใดก่อเกิดกับฉันอีก แต่เพียงหากมีสิ่งใดที่คล้ายกับการผจญภัย ฉันอดใจรอมิได้ที่จักไปย้ำกราย และฉันก็จะพยายามไม่ฝืนตัวเองมากนักนะ”
และนี้คือช่วงเวลาที่ลาล่า ครอฟต์ ได้ก้าวผ่าน สลัดตัวตนเดิมของเธอ นอบน้อมรับตัวตนใหม่ ตัวตนที่พวกเราต่างเฝ้ารอ และคุ้นเคยอย่าง