ปฐมบทของเรื่องราวทั้งหมดในจักรวาลที่ชื่อ BattleTech

เนื่องจากเกม BattleTech ใช้เรื่องราวจากจักรวาล BattleTech หากใครที่ไม่เคยย่างกรายเข้ามาในจักรวาลนี้ อาจจะมึนงงก็เป็นได้ ว่าเกมมันกล่าวถึงเรื่องใด อ้างอิงถึงเหตุการณ์อะไรที่เกิดก่อนหน้า รวมไปถึงศัพท์เฉพาะภายในเกม จากการที่เกมไม่มีการปูพื้นฐานให้คนเล่น มีเพียงวิดีโอไม่ถึง 2 นาทีมาให้ผู้เล่นรับชม ซึ่งแน่นอนว่าไม่เพียงพอต่อการทำความเข้าใจเรื่องราวในจักรวาลอย่างลึกซึ้ง ผู้เขียนประสบกับเหตุการณ์เช่นเดียวกับหลาย ๆ ท่าน เพราะไม่เคยเล่นเกม เล่น tabletop หรือดูอนิเมชั่นของ BattleTech

ผู้เขียนจึงได้ทำการค้นหาข้อมูลเพื่อให้เล่นเกมนี้ได้อย่างสุขสมอารมณ์หมาย และคิดว่าควรเขียนบทความเพื่อให้ผู้ที่ประสบเดียวกันปัญหานี้ ได้คลี่คลายข้อสงสัย เล่นเกมอย่างสบายใจ และที่สำคัญ เพื่อต้อนรับทุกท่านที่ต้องการเข้าสู่จักรวาล BattleTech

โดย BattleTech ในภาคนี้ รวมไปถึงเกม MechWarrior 5: Mercenaries เกิดในช่วง Succession War ครั้งที่ 3 สำหรับเกมแรกเกิดในปี 3025 ส่วนเกมถัดมาเกิดในปี 3015 จึงขอให้ผู้อ่านจำยุคและปีดังกล่าวไว้ ผู้เขียนจะกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญจนถึงปี 3025

อ่านตอนแรกได้ที่: BattleTech คืออะไร? มาปูพื้นฐานสู่ จักรวาล สงคราม และจักรกล กัน

Battletech มี 6 ยุคสมัย ดังต่อไปนี้

  1. ยุค Star League ปี 2005 – 2780*
  2. ยุค Succession Wars ปี 2781- 3049*
  3. ยุค Clan Invasion ปี 3050 – 3061
  4. ยุค Civil War ปี 3062 – 3067
  5. ยุค Jihad ปี 3068 – 3080
  6. ยุค Dark Age ปี 3081 เป็นต้นไป

โดยจะกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญแค่ 2 ยุคแรกเท่านั้น

ยุค Star League ปี 2005 – 2780

Project Deimos
ยาน Pathfinder หรือ Project Deimos

ปี 2107 — ภารกิจแรกของ Pathfinder: โลกหรือ Terra ได้ส่งยานความเร็วเหนือแสงลำแรก นามว่า Pathfinder ออกเดินทางจากโลกสู่ระบบดาว Tau Ceti

Tau Ceti
แผนที่ระบบสุริยจักรวาล New Earth

ปี 2116 — New Earth ถูกค้นพบ: ได้ค้นพบอาณานิคมแห่งแรกนอกระบบสุริยจักรวาลในระบบดาว Tau Ceti และถูกตั้งชื่อให้ว่า New Earth จนถึงปี 2235 อาณานิคมขยายจำนวนเพิ่มขึ้นถึงจำนวน 600 แห่ง การติดต่อ การเดินทางเป็นไปได้โดยง่าย จากการใช้กลุ่มยานความเร็วแสง เรียกว่า JumpShips และถือว่าเป็นจุดกำเนิดของ Inner Sphere

ขวาบนคือ JumpShip ส่วนลำล่างคือ DropShip
Star League
โถงบัลลังก์ของ Star League
สัญลักษณ์ Star League
สัญลักษณ์ Star League

ปี 2571 — การจัดตั้ง Star League: ก่อตั้งสภาระหว่างดวงดาว นามว่า Star League เพื่อปกป้อง รักษาความสงบระหว่างอาณานิคม อาณานิคมที่อยู่ใต้การปกครองของเหล่า Great Houses ทั้ง 5 เรียกว่า Inner Sphere โดยใช้ขอบนอกอาณาเขตของ Great Houses เป็นเกณฑ์ในการกำหนดเขต ส่วนอาณานิคมที่อยู่นอกเขตการปกครองของเหล่า Great Houses เรียกว่า Periphery

Inner Sphere
แผนที่ของ Inner Sphere กับ Periphery ในช่วง ยุค Succession War ครั้งที่ 3

ปี 2765 – 2780 — The Amaris Civil War: หลังจากการตายของผู้นำสูงสุดคนที่ 5 ของ Star League อย่าง Simon Cameron ผู้เป็นลูก Richard Cameron จึงเข้ารับช่วงต่อและเป็นผู้นำ Star League ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่มีสายโลหิตของตระกูล Cameron ต่อมาในปี 2766 ได้ถูกฆาตกรรมโดย Stefan Amaris ผู้เป็นเพื่อนสนิทและที่ปรึกษาของเขา Stefan Amaris ได้สถาปนาตัวเองเป็นผู้นำสูงสุดของ Star League และพยายามชักชวนให้ Alexander Kerensky ผู้เป็นหัวหน้าหน่วย Star League Defense Force (SLDF) มาเป็นมือขวาให้กับเขา แต่ทาง Alexander Kerensky ไม่หลงกลและได้ประกาศสงครามกับ Stefan Amaris

ซึ่งภายในช่วงนี้ เรียกว่า The Amaris Civil War ซึ่งได้ใช่เวลาประมาณ 13 ปี จนโค่นล้ม Stefan Amaris ลงได้ โดยเกิดความศูนย์เสียต่อหน่วย SLDF เป็นจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์ The Amaris Civil War เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ก่อให้เกิดยุค Succession Wars ในเวลาต่อมา

ยุค Succession Wars ปี 2781- 3049

ปี 2780 – 2781 — ปลด Alexander Kerensky: หลังจากเหตุการณ์ The Amaris Civil War ในปี 2780 ทางสภาได้สั่งปลด Alexander Kerensky จากตำแหน่ง ต่อมา ทางสภายังคงตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้ผู้ได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุดของ Star League ซึ่งผู้นำของแต่ละ Houses ก็ต้องการขึ้นเป็นผู้นำเสียเอง หลังจากนั้น ปี 2781 สภาได้ถูกละทิ้งโดยเหล่าผู้นำที่สังกัด Star League

ปี 2784 — ปฏิบัติการ Exodus: หลังจากเหตุการณ์ The Amaris Civil War

เกิดความระส่ำระสายใน Star League เมื่อไม่มีผู้นำสูงสุด และเกิดการแย่งชิงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของ Star League ทาง Alexander Kerensky จึงตัดสินใจนำทหารที่เป็นพรรคพวกของตนใน SLDF ประมาณร้อยละ 80 พร้อมทั้งครอบครัวของเหล่าทหารหาญ เดินทางออกนอก Inner Sphere และออกนอก Periphery ไปยัง Deep Periphery อีกทั้ง Alexander Kerensky ได้คาดเดาว่า จะต้องมีสงครามเพื่อค้นหาผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุดของ Star League

ซึ่งอีกเพียง 2 ปีต่อจากนั้น ได้บังเกิดสงครามผู้สืบทอดอย่างที่ได้คาดการณ์เอาไว้

Deep Periphery
แผนที่ Deep Periphery ในช่วงปี 3095

ปี 2785 — ค่าเงิน C-Bill ถูกสร้างขึ้น: ในช่วงภาวะสุญญากาศจากการล่มสลายของ Star League กลายเป็นโอกาสทองที่ ComStar องค์กรที่ควบคุมและบริหารเครือข่ายการสื่อสารเจ้าใหญ่ที่ต่อยอดมาจากกระทรวงสารสนเทศในสังกัดของ Star League

ComStar
สัญลักษณ์ของ ComStar

ทาง ComStar เป็นผู้ถือสิทธิ์ครอบครองและใช้งาน HyperPulse Generator (HPG) ไว้เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ทำการส่งข้อมูลผ่านความเร็วเหนือแสง ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรง่ายๆ ไปจนถึงหนังสือ หรือวิดีโอ ส่งถึงผู้รับได้ภายในเวลาไม่กี่เสี้ยววินาที และแน่นอน มีการเก็บค่าบริการจากผู้ใช้บริการ กล่าวได้ว่า ComStar ได้เข้าควบคุมทุกช่องทางการติดต่อสื่อสารของมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ

HyperPulse Generator
HyperPulse Generator

และด้วยการที่มีทรัพย์สินอันล้ำค่าอยู่ในกำมือของตนเองแต่เพียงผู้เดียว ComStar กลายเป็นทั้งธนาคารและเจ้าหนี้ปล่อยเงินกู้ใน Inner Sphere ฉะนั้น ComStar จึงได้สร้างค่าเงินของตัวเอง เรียกว่า ComStar letter of credit หรือ C-Bill ซึ่งถูกยึดหลังจากต้นทุนที่จะใช้ลำเลียงข้อมูลในขนาดเฉพาะเจาะจงไปยังปลายทางที่ระบุไว้

ยิ่งไปกว่านั้น ComStar ได้เติบโตไปไกลถึงขั้นเป็นกลายเป็นลัทธิย่อมๆ เช่น การมีคำสั่งในเชิงศาสนา ให้บูชาเครื่องจักรของพวกเขาเอง

โดย ComStar ยังมีกองกำลังทหารเป็นของตัวเอง ที่รวมไปถึงหุ่น BattleMech ที่เป็นเทคโนโลยีในยุค Star League และอีกทั้งกองยาน WarShips อีกด้วย

ปี 2786 – 2821 — Succession War ครั้งแรก: เกิดสงครามผู้สืบทอดหรือที่เรียกว่า Succession War เป็นสงครามที่ห้ำหั่นระหว่าง Great Houses ทั้ง 5 ใน Inner Sphere ได้แก่

Great Houses
สัญลักษณ์ อาณาเขต ของเหล่า Great Houses ในช่วง ยุค Succession War ครั้งที่ 3
  • House Kurita ที่ควบคุมอาณานิคม Draconis Combine
  • House Davion ที่ควบคุมอาณานิคม Federated Suns
  • House Liao ที่ควบคุมอาณานิคม Capellan Confederation
  • House Marik ที่ควบคุมอาณานิคม Free Worlds League
  • House Steiner ที่ควบคุมอาณานิคม Lyran Commonwealth

ซึ่งในสงครามผู้สืบทอด Great Houses ทั้ง 5 จะถูกเรียกว่า Successor States

สงครามปะทุขึ้นเมื่อ Coordinator Minoru Kurita ประกาศแต่งตั้งตนขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดคนใหม่ของ Star League ในปี 2786 ทำให้ Houses อื่นๆ ที่เหลือเจริญรอยตาม บังเกิด Succession War ครั้งที่ 1 โดยแต่ละรัฐผู้สืบทอดต่างเข้าโจมตีและรุกรานกันเองในแต่ละรัฐด้วยกองกำลังที่เตรียมเอาไว้เพื่อการนี้

โดยสงครามกินเวลายาวนานถึง 35 ปี และกลายเป็นความขัดแย้งที่เต็มไปด้วยการสังเวยชีวิตที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งต่างฝ่ายต่างละทิ้งสนธิสัญญาแห่ง Ares ในสงครามครั้งนี้ แต่ละฝ่ายต่างใช้อาวุธที่มีการพลังทำลายเป็นวงกว้าง สร้างความเสียหายแก่ที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกือบหลายดวงดาว ผู้คนไม่สามารถใช้อยู่อาศัยได้อีกต่อไป

Minoru Kurita
Minoru Kurita

ต่อมา สงครามได้หยุดลงแบบชั่วคราวในปี 2821 เนื่องจากผลกระทบของสงครามอันต่อเนื่องและยาวนาน ทำให้เกิดสภาวะความอ่อนแรงแก่รัฐต่างๆ ไม่มีรัฐผู้สืบทอดฝ่ายใดเลยที่ได้เข้าใกล้ และบรรลุเป้าหมายเดิมที่ตั้งเอาไว้ อีกทั้งความระดับรุนแรงของสงครามได้บานปลายจนกล่าวได้ ว่าไม่มีฝ่ายใดต้องการจะสร้างความสงบสุขอันแสนยั่งยืนอีกต่อไป

หลังจากช่วงเวลาที่ได้ประกาศหยุดทำสงครามช่วงคราว ต่างฝ่ายต่างใช้เวลาไปกับการฟื้นฟูบาดแผลจากสงคราม แต่อย่างไรก็ตาม ระดับความเสียหายในทางโครงสร้างขั้นพื้นฐานของรัฐ จำนวนประชากรที่ล้มตาย รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์และเหล่าผู้ชำนาญการเฉพาะด้านต่างๆ นั้น มีปริมาณมหาศาล 9 ใน 10 ของทุกๆ WarShip และครึ่งหนึ่งของจำนวน JumpShips ถูกทำลายย่อยยับในระหว่างสงคราม

และจากการที่สงครามนั้น ได้มีการมุ่งเน้นที่จะทำลายโรงงานก่อสร้างยานทั้ง Warship และ JumpShips ทำให้แต่ละรัฐไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างยานต่างๆ มาทดแทนในส่วนที่เสียหายได้แม้แต่น้อย

WarShip
ตัวอย่าง WarShip (ในรูปเป็นของ Stefan Amaris)

ปี 2830 – 2864 — Succession War ครั้งที่สอง: Succession War ครั้งที่สองได้เริ่มขึ้นในปี 2830 ขณะที่ Jinjiro Kurita ได้เริ่มต้นเปิดฉากโจมตีรัฐผู้สืบทอดที่อยู่รอบข้างรัฐของตน และประกอบกับแต่ละรัฐนั้นบางส่วนก็ถูกปลุกปั่นโดย ComStar ที่ใช้วิธีการส่งข้อมูลอย่างลับๆ ให้แก่ Lyran Commonwealth

Succession War ครั้งที่สองนั้น นองเลือดไม่น้อยไปกว่าครั้งแรก ต่อมาได้หยุดอย่างชั่วคราวอีกครั้ง โดยไม่มีสาเหตุที่แน่ชัดในปี 2864 ซึ่งสภาวะการเสื่อมถอยของเทคโนโลยีที่เป็นผลกระทบมาจากสงครามครั้งที่ 1 นั้น ยังคงมีปัญหาจวบจนตอนนี้ และไม่มีทีท่าจะลดน้อยลง หลายดวงดาวนั้นเทคโนโลยีได้เข้าสู่สภาวะถอยหลังกลับไปยังศตวรรษที่ 20 อย่างดาวโลก หรือไม่มากไปกว่านั้น

Succession War second

เว้นแต่บางดาวที่สามารถจัดการกับปัญหาภาวะความเสื่อมถอยของเทคโนโลยี นอกจากนั้นแล้วไม่มีใครเลยที่ออกมาแสดงแสนยานุภาพในเทคโนโลยีของตนว่ามีความก้าวหน้ากว่าเทคโนโลยีในช่วงแรกของยุค Age of War (ปี 2398) และยิ่งไปกว่านั้น กรณีภาวะการเสื่อมถอยของเทคโนโลยีนั้น ทาง ComStar ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาวะความถดถอยนั้นทวีอาการหนักขึ้น เพราะทาง ComStar รู้ว่าในขณะนั้น เกิดบาดแผลจากสงครามผู้สืบทอดและเกิดภาวะความเสื่อมถอยของเทคโนโลยี ที่เป็นผลกระทบจากสงครามผู้สืบทอดครั้งที่ 1 และ 2 โดยแต่ละ Great Houses อยู่ในช่วงฟื้นฟูจากภาวะสงครามและต่างกำลังฟื้นฟูเทคโนโลยีในช่วงยุค Star League ให้กลับมาอีกครั้ง

ทาง ComStar จึงมีความคิดว่านี้เป็นโอกาสอันดีที่จะสามารถควบคุมอำนาจไว้เบ็ดเสร็จแต่เพียงผู้เดียว จึงได้เริ่มแผนการทำลายล้างเหล่าองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีที่ตนไม่ได้ยึดครองไว้ โดยการกำจัดบุคลากร ทำลายห้องวิจัย และเหล่านักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายที่มีความรู้และเกี่ยวข้องทางด้านเทคโนโลยี

ซึ่งเรียกเหตุการณ์นี้ว่า Operation Holy Shroud มีระยะเวลาปฏิบัติการในปี 2838 จวบจนถึงปี 2843 ส่งผลให้ ComStar ครอบครององค์ความรู้ทางเทคโนโลยีไว้แต่ที่ตนเพียงผู้เดียวและเป็นการเพิ่มพลังอำนาจให้แก่ ComStar ไปโดยปริยาย แต่ในทางกลับกัน ทำให้วิทยาการของมวลมนุษยชาตินั้น ย้อนกลับไปหลายศตวรรษเลยทีเดียว

Battlemech Battle

ในส่วนของแต่ละ Great Houses เมื่อเทคโนโลยีส่วนใหญ่ถูกทำลายไปเกือบหมด พวกเขาจึงพยายามสร้างคอมพิวเตอร์ชั้นสูง, เครื่องยนต์พลังงานฟิวชั่นขนาดใหญ่และอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีที่ถูกทำให้ใช้งานไม่ได้ชั่วคราวขึ้นมาใหม่ เพื่อนำไปสร้าง BattleMech จากเศษซากชิ้นส่วนที่เหลือเพื่อให้มีไว้คงคลังเท่านั้น ส่วน WarShips ลำสุดท้าย สูญหายไปในระหว่างสงคราม ทำให้ยาน WarShips นั้น สูญพันธุ์ไปจาก Inner Sphere ด้วยชะตากรรมเดียวกันที่กำลังจะเกิดกับ JumpShips ที่หลงเหลืออยู่ ปรากฏว่าได้เกิดข้อตกลงที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรว่าห้ามนำ JumpShips เข้าใช้ในสงคราม

ในทาง ComStar พวกเขายังคงได้ครอบครองระบบ HyperPulse Generator ต่อไป เนื่องจากเป็นผลจากข้อตกลง Communications Protocol of 2787 ที่เคยได้ทำไว้โดย Jerome Blake ผู้ก่อตั้ง ComStar กับเหล่าอดีต Council Lords ของ Star League แต่ด้วยการดำเนินการของผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจาก Jerome Blake อย่าง Conrad Toyama การดำเนินการของ ComStar ภายใต้การควบคุมของ Conrad Toyama ดูเหมือนว่าจะออกไปในทางกึ่งเหนือธรรมชาติอยู่หน่อยหนึ่ง จากที่ ComStar กลายเป็นกึ่งลัทธิย่อมๆ แล้ว (อย่าลืมว่าพวกเขาบูชาเครื่องจักร)

*ปี 2866 – 3025 — Succession War ครั้งที่ 3: สงครามครั้งที่ 3 นั้น มีจุดเริ่มต้นคล้ายกับครั้งที่ 2 คือจากการที่ ComStar ได้แอบส่งข้อมูลอย่างลับๆ ให้แก่ Lyran Commonwealth เพื่อไปยั่วยุ Miyogi Kurita ให้เปิดฉากโจมตีรัฐผู้สืบทอดอื่นด้วยวิธีการดังกล่าว สงครามผู้สืบทอดครั้งที่ 3 นี้มีลักษณะพิเศษ แตกต่างไปจาก 2 ครั้งก่อน ผลมาจากการที่สงครามทั้งนี้ มีระดับความรุนแรงค่อนข้างต่ำกว่าครั้งก่อนๆ และประกอบกับอยู่ในช่วง ระบบ Neo-Feudalistic ที่กำลังรุ่งเรืองในทุกๆ รัฐ

BattleMech

เหตุที่ระดับความรุนแรงต่ำกว่าครั้งก่อนๆ เพราะเกิดกลยุทธ์ใหม่ๆ ในการสู้รบในสงครามครั้งนี้ จากที่เหล่ารัฐผู้สืบทอดตระหนักว่าทรัพยากรที่สำคัญเหลือน้อยเต็มที ต้องพยายามปกป้องไว้ ส่วน JumpShips ก็ล้ำค่ากว่าที่จะเอาไปละลายน้ำทิ้ง การต่อสู้ภาคพื้นดินจึงเริ่มเป็นที่นิยม ที่มาพร้อมการสนับสนุนจากกองกำลังทางอวกาศ โรงงานอุตสาหกรรมและตัวเมือง เป็นเป้าหมายสำคัญของการต่อสู้ครั้งนี้ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะต่างฝ่ายต้องการหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจจะเกิดได้กับทุกๆ ฝ่าย

การต่อสู้ในหลายครั้งของสงครามครั้งนี้ นิยมนำกองกำลังทหารรับจ้างมาใช้ในสงคราม เพื่อที่จะนำ BattleMech เข้าไปค้นหาซากอะไหล่ที่เป็นวัตถุอันล้ำค่าของยุคนี้ในสนามรบ หากเหล่า MechWarriors ที่เป็นทหารรับจ้าง พ่ายแพ้ในศึกของตน และต้องการที่จะยอมจำนนต่อกองกำลังที่กำชัยเหนือกว่า เหล่า MechWarriors ที่เป็นทหารรับจ้างก็เพียงแค่จ่ายค่าไถ่ตัวของตัวเองและหนีออกไปนอกอวกาศเท่านั้น ไม่ต้องเปลืองทรัพยากรของรัฐผู้จ้าง อีกทั้งประหยัดกว่าการใช้กองกำลังทหารของตนเองเสียอีก

ส่วนความรุ่งเรืองของระบบ Neo-Feudalistic มาจากความเสียหายจากผลของสงคราม 2 ครั้งที่แล้ว ส่งผลให้แต่ละ Great Houses เกิดความยากลำบากในการรวบรวมศูนย์กลางอำนาจมายังที่ตน บังคับให้แต่ละรัฐต้องพึ่งพาชนชั้นขุนนางยิ่งกว่าเก่า เพื่อดำเนินการปกครองรัฐของตน

Battle Mech Warrior

ช่วงท้ายของสงคราม แม้ว่า ComStar จะเคยพยายามจัดการทำลายเทคโนโลยีไปจนเกือบหมดแล้วนั้น เหล่ารัฐผู้สืบทอดก็ยังสามารถบูรณะเทคโนโลยีที่สูญหายไปในหลายศตวรรษก่อนหน้านี้ได้ แม้แค่เพียงเศษเสียวหนึ่งก็ตาม แต่ต่อมา เกิดการบูรณะเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในช่วงปี 3028 เมื่อได้มีการค้นพบ Helm Memory Core ที่เป็นสถานที่เก็บรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีในยุค Star League ซึ่งเคยเป็นห้องสมุดของ Star League ในช่วงที่ Star League ยังมีบทบาท โดยตั้งอยู่บทดาว Helm

ซึ่งการค้นพบดังกล่าวนั้น เป็นสัญญาณว่ามนุษยชาติจะสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาความมืดมิดในสงครามผู้สืบทอดได้อย่างแน่นอน


จบกันไปแล้วสำหรับ Timeline สำคัญก่อนถึงเวลาในเกม ซึ่งตัวเกมภาคนี้อยู่ในช่วงปี 3025 นั้นก็คือช่วงปลายสงครามผู้สืบทอดทั้งที่ 3

โดยตอนต่อไป เราจะมาพูดถึงสถานที่ ตัวละครที่เกมนั้นเจาะจง และเราจะมาลงรายละเอียดถึงประวัติของแต่ละรัฐผู้สืบทอดทั้ง 5 ให้มากกว่านี้

Share this article
0
Share
0 Share
0 Tweet
0 Share
0 Share
Shareable URL
0
Share