วางจำหน่ายกันไปสักพักแล้วสำหรับ BattleTech โดย Harebrained Schemes จากผู้สร้าง ShadowRun ซึ่ง BattleTech เป็นซีรีส์ที่มีประวัติมายาวนาน โดยมีฐานแฟนคลับเดนตายอยู่ทั่วสารทิศแต่ถือว่าเป็นซีรีส์ที่อาจจะมีปัญหากับหน้าใหม่ในบ้านเราพอสมควร คงต้องยอมรับว่า BattleTech นั้น ไม่ค่อยถูกพูดถึงในบ้านเราสักเท่าไร อีกทั้งตัว Lore ของซีรีส์นี้มีความซับซ้อน ลึกซึ้ง และยาวอยู่พอสมควร จึงเป็นเรื่องยาก สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ามาสู่จักรวาล BattleTech ที่ถือว่าเป็นจักรวาลที่มีเสน่ห์ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และบ้าคลั่งอยู่พอสมควร
ผู้เขียนเองก็เพิ่งมารู้จักซีรีส์นี้จากเกม BattleTech ของ Harebrained Schemes เพราะชอบและหลงใหลในสิ่งที่เกี่ยวกับ หุ่น Mech อยู่ไม่น้อย จึงได้ลองย่างกรายเข้ามาในจักรวาลนี้ แล้วก็ตระหนักได้ว่า “นี้มันยอดเยี่ยมสุดๆ ไปเลยนี่หว่า”
มาถึงตอนนี้ ผู้เขียนเข้าขั้น Immersive ถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว และก็อยากให้ผู้ที่ไม่รู้จัก หรืออยากทำความรู้จักซีรีส์นี้ ได้เข้ามาลองดู ลองสัมผัสให้ง่ายขึ้นต่อการเข้ามาเล่นเกมตัวปี 2018 ผู้เขียนจึงการจัดทำโปรเจกต์ใหญ่ขึ้นมา นั้นก็คือ “ปูพื้นฐาน จักรวาล BattleTech (2018) ” โดยในตอนที่ 1 นั้น เราจะมาพูดถึงที่มาที่ไป หรือประเด็นที่เป็น Fact ที่น่าสนใจของ BattleTech ก่อนนะครับ ก่อนตอนต่อๆ ไป จะไปให้ลึกกว่านี้
มารู้จักแบบเบื้องต้นกัน
BattleTech คือ เกม tabletop ในประเภท Wargame และเป็นแฟรนไชส์แนวนวนิยายวิทยาศาสตร์ที่เน้นไปในทางการทำสงครามและการเมือง จำหน่ายโดย FASA Corporation ในปี 1984 โดยซีรีส์นี้ได้เริ่มต้นศักราชด้วยเกม tabletop ชื่อ BattleTech (ที่มีชื่อเดิมคือ BattleDroids) โดย Jordan Weisman และ L. Ross Babcock III ซึ่งหลังจากนั้น ซีรีส์นี้ได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งมีตัวเสริมมากมายสำหรับเกม tabletop ตัวต้นตำรับ รวมไปถึงมีวิดีโอเกม, เกมการ์ดสะสม, นิยายที่มีมากกว่า 100 ฉบับ และแอนิเมชันทางทีวี (ที่เป็นประเด็นใหญ่กับซีรีส์ Macross ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน)
โดยตัวเกม tabletop ตัวแรกนั้นจะมุ่งไปที่การต่อสู้ระหว่างหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างกึ่งคล้ายมนุษย์ โดยมีเบื้องหลังเป็นช่วงยุคมืดของระบบระบบศักดินาที่เกิดขึ้นในอนาคตของมวลมนุษยชาติ ซึ่งตอนแรกเกมมีชื่อว่า BattleDroids แต่ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนเป็น BattleTech ใน Second Edition เพราะตอนนั้น George Lucas และ Lucasfilm ถือสิทธิ์คำว่า Droid และตัวหุ่นเองก็ได้ถูกเปลี่ยนชื่อให้เป็น BattleMech ใน Second Edition เช่นกัน
จุดเด่นของจักรวาล BattleTech
เรื่องราวของ BattleTech จะอยู่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ไปจนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 32 ที่เป็นจักรวาลทางเลือกจากความเป็นจริงของพวกเราในปัจจุบัน
ซึ่งเนื้อหาจะวนอยู่กับเรื่องการเมืองการปกครองเป็นหลัก ทั้งในด้านความสัมพันธ์และด้านความขัดแย้งการเมืองระหว่างดวงดาว, สงครามกลางเมือง, สงครามในระดับดาวเคราะห์, การแบ่งพรรคพ้อง แบ่งก๊กเหล่าทางการเมือง, การหักหลัง หักเหลี่ยม ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ล้วนขับเคลื่อนไปด้วยเหตุผลในเชิงการเมืองทั้งสิ้น
และสิ่งที่เป็นเสน่ห์ที่สุดของจักรวาล BattleTech คือ มนุษย์จะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวในจักรวาล (ที่ได้รับการยืนยัน แม้จะเคยมีพูดถึงในนิยายมาแล้วก็เถอะนะ) ไม่ปรากฏการมีตัวตนของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาอื่นๆ ที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งแตกต่างกับหลายๆ ซีรีส์ในยุคนั้นที่มักจะมีเผ่าพันธุ์อื่นๆ เข้ามามีบทบาทในจักรวาลของตน
ลิขสิทธิ์ของตระกูล BattleTech
BattleTech นั้นสร้างโดย FASA Corporation ที่ถือสิทธิ์ในจักรวาล BattleTech จนถอนตัวไปจากตลาด Wargame ในปี 2001 ซึ่งทาง FASA ทำสัญญาทางลิขสิทธิ์ของ BattleTech โดยให้สิทธิ์เด็ดขาดในจักรวาลดังกล่าวกับทางเหล่าผู้พัฒนา Third party (ซึ่งสิทธิ์ในการทำวิดีโอเกมนั้นตกไปอยู่ที่ FASA Interactive ที่ถูก Microsoft ซื้อไปทั้งตัวผู้พัฒนา และทั้งลิขสิทธิ์ในจักรวาล BattleTech)
ในปี 2001 FASA ได้ถอนตัวไปจากตลาด ลิขสิทธิ์ของตัวเกม tabletop นั้นได้ตกไปยัง WizKids ที่ก่อตั้งโดย Jordan Weisman อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง FASA (แต่อย่างไรก็ตาม สิทธิ์ในการสร้างวิดีโอเกมยังคงอยู่กับ Microsoft) ทาง WizKids ได้แยกส่วนลิขสิทธิ์ของ BattleTech ออกเป็นสองส่วน คือ Classic BattleTech กับ MechWarrior: Dark Age
ในส่วนลิขสิทธิ์ของ Classic BattleTech นั้น ได้ถูกถือสิทธิ์โดย FanPro ผู้จัดจำหน่ายเกมสัญชาติเยอรมัน ที่เคยจำหน่าย BattleTech ในฉบับของเยอรมันไปก่อนหน้านั้น ต่อมาในปี 2001 FanPro ได้ก่อตั้ง FanPro LLC ซึ่งเป็นบริษัทลูกในอเมริกา เพื่อจัดจำหน่าย Classic BattleTech ในฉบับภาษาอังกฤษ
ขณะเดียวกัน ทาง WizKids ก็ได้จัดทำเกม tabletop ประเภท Miniature Wargame ที่ใช้ระบบที่ทาง WizKid สร้างขึ้นมา ชื่อว่า Clix โดยใช้เนื้อหาของ MechWarrior: Dark Age
ปี 2003 WizKids ถูก Topps ซื้อไป ในปีเดียวกันนั้น InMediaRes ได้รับสิทธิ์จาก Topps ในการจัดจำหน่ายนิยาย, ข่าวสาร, เกมต่างๆ ที่อยู่ในจักรวาล BattleTech บนอินเทอร์เน็ต นำไปสู่การกำเนิดเว็บไซต์ BattleCorps เว็บออนไลน์แมกาซีนของจักรวาล BattleTech
ต่อมาในปี 2007 FanPro หมดสัญญากับทาง WizKids และก็ไม่ปรากฏว่ามีการต่อสัญญาแต่อย่างใด InMediaRes จึงจัดการซื้อลิขสิทธิ์เด็ดขาดของ Classic BattleTech อย่างเต็มตัว จาก Topps/WizKids และจัดการก่อตั้ง Catalyst Game Labs เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับ Classic BattleTech
ปี 2008 Topps ได้จัดการยุบ WizKids และยกเลิกการสายการผลิตเกม Clix ทั้งหมด รวมไปถึง MechWarrior: Dark Age ทาง Classic BattleTech ก็ถูกกลับมาเรียกว่า BattleTech เฉยๆ อีกครั้ง ปัจจุบัน ลิขสิทธิ์ของจักรวาล BattleTech ทุกแขนง ยกเว้นเรื่องวิดีโอเกม มีเพียง InMediaRes เจ้าเดียวเท่านั้นที่ยังคงถือสิทธิ์อยู่
ส่วนในทางวิดีโอเกม ในปี 2007 FASA Studio ถูกยุบไปโดยบริษัทแม่อย่าง Microsoft สิทธิ์ในการสร้างและจัดจำหน่ายวิดีโอเกมในจักรวาล BattleTech ได้กลับไปอยู่กับ Jordan Weisman และก็ปี 2007 เช่นกันที่ Jordan Weisman ได้ก่อตั้ง Smith & Tinker เพื่อจัดการสร้างและจัดจำหน่ายสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับจักรวาล BattleTech และแน่นอน รวมไปถึงวิดีโอเกม แต่ต่อมาในปี 2011 สตูดิโอ Piranha Games ได้จัดการซื้อสิทธิ์ของจักรวาล BattleTech ในการสร้างวิดีโอเกมจาก Smith & Tinker และต่อมาในปี 2012 ทาง Smith & Tinker ก็ได้ปิดตัวลง
ส่วน Jordan Weisman ก็ได้ไปก่อตั้ง Harebrained Schemes ที่ได้สร้างเกม Shadowrun และ BattleTech ในฉบับปี 2018 ที่เพิ่งปล่อยไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยเป็นการร่วมงานระหว่าง Harebrained Schemes, Catalyst Game Labs และ Piranha Games
ปัญหาวุ่นๆ ของ “The Unseen”
จากที่เราได้พูดถึงในช่วงต้นๆ ว่า BattleTech นั้นมีประเด็นใหญ่กับ Macross เรื่องเกิดมาจากการที่ FASA นั้นตัดสินใจที่จะไปใช้ภาพการออกแบบที่ทำเพื่อใช้ในแอนิเมชันญี่ปุ่นหลายๆ เรื่อง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Macross (มีอีกชื่อว่า RoboTech ซึ่งใช้ในการทำตลาดนอกญี่ปุ่น) มาใช้ในการออกแบบหุ่น ‘Mech ของตน โดยลิขสิทธิ์ในงานออกแบบดังกล่าว FASA ได้รับอนุญาตจาก Twentieth Century Imports (TCI) ต่อมา FASA ได้จัดการโละการออกแบบหุ่นที่มาจากรูปเจ้าปัญหานั้นทั้งหมด เนื่องจากงานออกแบบดังกล่าวทำให้เกิดประเด็นข้อพิพาททางกฎหมายกับ Playmates และ Harmony Gold ที่เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ Macross ในตลาดนอกญี่ปุ่น
ต่อมาในปี 2007 Randall N. Bills ผู้พัฒนา Classic BattleTech ได้ออกมาบอกว่า FASA ได้ฟ้อง Playmates สำหรับการใช้การออกแบบที่ถือสิทธิ์โดย FASA แต่ในการฟ้องร้องครั้งนั้น FASA ก็ไม่ได้ค่าชดเชยในความเสียหายแต่อย่างใด และ FASA ก็เริ่มจะรู้ตัวว่าการใช้การออกแบบดังกล่าวนั้น ทำให้ตนมีความเสี่ยงในการจะถูกดำเนินคดี รวมไปถึงความเสี่ยงในเรื่องการเงินจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ที่อาจนำไปสู่ภาวะล้มละลายของ FASA ได้
FASA จึงตัดสินใจที่จะออกแบบหุ่น ‘Mech ใหม่ด้วยตนเอง แทนการใช้การออกแบบหุ่นที่ใช้อ้างอิงจากงานออกแบบเจ้าปัญหา โดยหุ่นที่ใช้งานออกแบบเก่านั้น ยังคงถูกพูดถึงในแอนิเมชันของ BattleTech แต่งานออกแบบดังกล่าวนั้น ไม่อยู่ในหนังสือที่รวบรวมงานออกแบบของ BattleTech
เหล่าแฟนๆ BattleTech จึงเรียกหุ่นตัวก่อนจะถูกแก้การออกแบบว่า “The Unseen”
จบกันไปแล้วสำหรับส่วนความรู้พื้นฐาน และข้อมูลที่น่าสนใจของ BattleTech
ในตอนต่อไป เราจะเข้าสู่เนื้อหากันแบบจริงจังแล้ว ซึ่งเราจะมาอธิบาย Timeline ที่สำคัญๆ ของ BattleTech จากช่วงยุคต้น ไปจนถึงช่วงเวลาที่ปรากฏในเกม BattleTech ของ Harebrained Schemes