The Crew 2 Review

กครั้งที่ผมหยุดเล่น The Crew 2 ปิดคอมพ์ แล้วขึ้นไปนอน ผมมักจะรู้สึกว่ามันทิ้งรสชาติแปลกๆ ไว้ในปาก มันเป็นรสชาติที่ จะว่าอร่อยมั้ย ก็อร่อย แต่มันไม่ได้อร่อยระดับร้านอาหารมิชลินระดับ 3 ดาว มันอยู่แค่ระดับร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอยบ้าน…….แต่มันก็อร่อย

เกมใหม่ที่มากกว่าเป็นเพียงแค่ภาคต่อ

The Crew 2 นั้นเรียกว่าเป็นภาคต่อก็ไม่เชิง เพราะตัวเกมยังใช้ Settings เดิมคือทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาจะเป็นสนามประลองความเร็วของคุณ ผมสารภาพก่อนเลยว่า ผมไม่เคยเล่นภาคแรกมาก่อน มาจับอีกทีก็ภาค 2 เลย แต่จากภาคแรกที่คุณแข่งแต่รถอย่างเดียว แต่ภาคนี้คุณจะได้ขับเครื่องบิน เรือ และพาหนะอีกมากมายให้ขับ (แต่ไม่มีเรือดำน้ำนะ อุ๊ป)

ซึ่งโหมดการแข่งในเกมก็มีมากมายโดยจะแบ่งเป็น 4 สายใหญ่ คือ Street, Off-Road, Freestyle และ Pro แต่ละสายจะมี Discipline(สาขา) แยกย่อยไปอีก คุณจะต้องปลดล็อกไปเรื่อยๆ ผ่านทางการสะสมยอด Followers (เหมือน WATCH_DOGS 2) เมื่อถึงจุดที่กำหนดชื่อเสียงของคุณจะเพิ่ม และก็จะสามารถปลด Discipline ใหม่ขึ้นมาแข่งได้ และยังมีอีเวนท์การแข่งพิเศษอย่าง Live EXTREM series โดยจะเป็นอีเวนท์การแข่งแบบลากยาวโดยใช้พาหนะ 3 ชนิด ซึ่งเมื่อแข่งไปถึงระยะหนึ่งก็จะเปลี่ยนพาหนะกลางทางเลย (แบบ Sonic & All-Stars Racing Transformed)

พล็อตเรื่องราวของเกมคือตัวคุณจะเป็นนักแข่งโนเนม ไต่เต้าขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของวงการนักแข่งโดยการแข่งกับ “จ้าว” ของแต่ละสาย เมื่อชนะแล้วก็จะได้ Ultimate Vehicle หรือพาหนะระดับสุดยอดของสายนั้นมา และไต่ระดับขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของวงการ นั่นคือการเป็น “ซูเปอร์สตาร์” ระดับตำนานที่คนต้องจดจำ

จุดที่ทำให้มันดูน่าเบื่อหน่าย คือบทพูดของตัวละครในเกมเนี่ยแหละครับ ฟังแล้วขนลุกเลย ไดอะล็อกแต่ละอย่างนี่เหมือนให้คนจากยุค BABY BOOMER ที่พยายามทำความเข้าใจลูกชายตัวเองที่อยู่ในวัย GENERATION-Z มาเขียนให้

เนื้อเรื่องสุดเฉิ่มกับการทดแทนด้วยระบบการเล่นที่…..คิดไปได้!

ถึงแม้ว่า Story ในเกมจะตื้นเขินเสียเหลือเกิน แต่ก็มีอีกจุดที่ทำให้มันดูน่าเบื่อหน่าย คือบทพูดของตัวละครในเกมเนี่ยแหละครับ ฟังแล้วขนลุกเลย ไดอะล็อกแต่ละอย่างนี่เหมือนให้คนจากยุค Baby Boomer ที่พยายามทำความเข้าใจลูกชายตัวเองที่อยู่ในวัย Generation-Z มาเขียนให้ แถมงานพากย์ก็ค่อนข้างแย่ คือฟังแล้วเหมือนคนพากย์ไม่อินไปกับบทเลย………คือตัวบทเองมันก็ไม่ได้ชวนให้อินขนาดนั้นน่ะนะ แต่อย่างน้อยก็ช่วยใส่อารมณ์ถึงคนเล่นซักนิดก็ยังดี แต่นี่ไม่เลย

พาหนะในเกมจะแยกออกเป็น Discipline ชัดเจน นึกถึงสายในเกม RPG น่ะครับ แบบสมมติคุณเล่น Street Race คุณก็จะต้องใช้พาหนะสาย Street Race หรือถ้าขับเรือสาย Jet Sprint ก็ต้องใช้พาหนะที่เป็นเรือสาย Jet Sprint เท่านั้น แต่ในโหมด Free Roam คุณสามารถที่จะใช้พาหนะใดๆ ในเกมก็ได้ โดยตั้งเป็น Favorites ไว้ในสามหมวดคือภาคพื้น (รถ มอเตอร์ไซค์ บิ๊กฟุต ฯลฯ) ภาคทะเล (เรือ) และภาคอากาศ (เครื่องบิน) โดยสามารถเปลี่ยนสลับไปสลับมาได้ตลอด

The Crew 2, Ubisoft

จุดเด่นหนึ่งของโหมด Free Roam คือคุณสามารถเข้าใช้โหมด Photo เพื่อถ่ายรูปสวยๆ ไว้อวดเพื่อนด้วย ซึ่งนี่เป็นการโชว์จุดแข็งที่สุดของ The Crew 2 ที่จำลองสภาพแวดล้อมของประเทศสหรัฐอเมริกาไว้เกือบหมด ซึ่งภายในเกมจะมีภารกิจ Photo Ops ที่จะให้คุณถ่ายรูปตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่นถ่ายรูป Landmark สำคัญๆ  หรือถ่ายรูปรถของคุณตอนกำลังวิ่งอยู่ใน Las Vegas ตอนกลางคืน ซึ่งถ้าคุณทำสำเร็จก็จะได้ Followers กับเงินจำนวนหนึ่งด้วย แต่น่าเสียดายที่โหมด Photo ใช้ตอนกำลังแข่งไม่ได้ เพราะโมเม้นท์บางอย่างตอนแข่งมันก็ดีพอที่จะถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระทึกน่ะครับ

ลูกเล่นอัพเกรดพาหนะจะถูกกำหนดไว้ด้วย Gear Score เหมือนกับเกม MMORPG เด๊ะๆ คือพาหนะทุกชนิดจะมีอุปกรณ์ทั้งหมด 7 ชิ้นเท่ากัน แต่ละชิ้นจะมี Stats กำหนดไว้ว่าชิ้นไหนเพิ่มอะไร Gear Score เท่าไหร่ และมีการแบ่งสีระดับของอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ ด้วย ในระดับสูงๆ ก็จะมี Perk กำกับไว้โดยเป็นโบนัสพิเศษต่างๆ ซึ่ง Event การแข่งในเกมจะมีการกำหนด Gear Score ขั้นต่ำไว้ด้วย ส่วนอุปกรณ์จะได้ก็มาจาก Loot Box หลังทำ Activity จบ หรือได้จาก Live Reward ที่สุ่มโผล่ในแมพตอนคุณขับรถ Free Roam อยู่นั่นเอง…….

Loot Box…..!? Loot Box อีกแล้วเรอะ!?

ช้าก่อนครับ อ่านถึงตรงนี้อย่าเพิ่งโวยวายไปเสียก่อน แม้ว่าอุปกรณ์จะดรอปจาก Loot Box เป็นหลักก็ตาม แต่มันการันตีว่าของที่คุณได้จะต้องมี Score สูงกว่าอันที่คุณใส่อยู่แน่นอน แต่ไม่เสมอไป

กล่าวคือ มันอาจมีโอกาสที่คุณจะได้ Score ต่ำกว่า แต่ไม่มาก และบางครั้งจะได้ Rarity ดีกว่าอันที่คุณใส่อยู่ด้วย แต่ถ้านั่นยังไม่ดีพอ ตัวเกมยังมีเมตตาพอที่จะกำหนด Gear Score สูงสุดของพาหนะแต่ละสายด้วย (ไม่เท่ากันนะเออ) ซึ่งมันอาจต้องลงแข่งซ้ำไปซ้ำมาบ้าง แต่ก็รับประกันได้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องปั่นยับขนาดเกม MMORPG เกมอื่นๆ แน่นอน ซึ่งตรงนี้ผมโอเค

เกมแข่งรถ(?) ที่มาพร้อมกับระบบการควบคุมที่โคตรง่าย

ด้านการบังคับพาหนะแต่ละชนิดในเกมจะออกครึ่งๆ กลางๆ ระหว่างสไตล์ Arcade กะ Realistic หน่อยๆ คือมันไม่ได้ Arcade จ๋าแบบคุณวิ่งแหกอากาศมาด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วดริฟท์เข้าโค้งตัว L แบบสวยๆ ได้เพียงแค่แตะเบรคเบาๆ โดยไม่ต้องผ่อนคันเร่ง แต่ก็ไม่ได้สมจริงขนาดว่าวิ่งเร็วมากๆ แล้วรถจะส่ายสะบัดหมุนเป็นใบพัดเฮลิคอปเตอร์แล้วก็ชนแท่งแบริเออร์ข้างทางจนกระเด็นไปชนตึก

The Crew 2, Ubisoft

คือมันกลางๆ กำลังดี ไม่ขับง่ายไป ไม่ขับยากไป คนที่ไม่ถนัดเกม Racing แบบผมก็เล่นได้สนุก ถ้าหากคุณคิดว่าการบังคับรถมันยังไม่ถูกใจคุณมากพอ ตัวเกมก็ยังใจดีอนุญาตให้คุณปรับแต่งการควบคุมรถเพิ่มเติมผ่านทางระบบ Advance Config. ได้ด้วย

และ AI ของคู่แข่งในเกมก็ไม่ได้โกงเราเท่าไหร่ แต่ก็มีบางอีเวนท์ที่ยังมีให้เห็นบ้าง อย่างอีเวนท์แข่งที่ยาวๆ นี่บางครั้งผมนำอยู่ประมาณ 6 วิฯ พอเข้าช่วงท้ายอยู่ดีๆ มันมาจ่อตูดผมได้ไงก็ไม่รู้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมหงุดหงิดอะไรมากมายนัก สิ่งที่ทำให้ผมหงุดหงิดส่วนมากจะเป็นระบบยิบย่อยมากกว่า อย่างในโหมด Drift ที่แม้ว่าการบังคับมันจะทำได้ง่าย

แต่ตัวฉากดันออกแบบมาให้รู้สึกยากลำบากในการเล่นเสียเหลือเกิน คือการดริฟท์ในหลายๆ เกมจะคล้ายกัน คือแค่ดริฟท์ ต่อคอมโบให้ได้มากที่สุด ถ้าชนแบริเออร์หรือกำแพงข้างทางคอมโบจะหยุดทันที ซึ่งกับเกมนี้ก็ใช้กฏเดียวกัน แต่กลายเป็นว่า ถ้าคุณชนอะไรก็ตาม ตั้งแต่กำแพงยันถังขยะที่วางอยู่ตามเบี้ยใบ้รายทาง คอมโบจะหยุดทันที แล้วในบางฉากนี่ทางอย่างแคบ แถมยังมีไอ้พวกถังขยะ ป้ายบอกทาง เสาไฟฟ้า ฯลฯ วางอยู่เต็มไปหมด ผมก็ซวยสิงี้

UI ของเกมออกแบบมาได้สวยดีครับ คุณสามารถเข้าแข่งอีเวนท์ต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วอเมริกาได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลาขับรถไป นอกจากนี้คุณยังสามารถ Fast Travel ไปยัง HQ ของแต่ละสาย หรือจะกลับไปที่บ้านของคุณก็ได้ ซึ่งในบ้านคุณก็สามารถซื้อรถ ตกแต่งตัวละครของคุณ (ที่ไม่ค่อยได้เห็น) หรือตกแต่งรถเพิ่มเติมได้ โดยลวดลายที่สามารถตกแต่งบนรถได้ก็มีหลากหลายแบบ และคุณยังสามารถดึงเอาลวดลายของผู้เล่นคนอื่นที่อัพโหลดเอาไว้ในเซิฟเวอร์มาใช้ก็ทำได้เหมือนกัน ซึ่งก็ดีสำหรับคนที่ขี้เกียจแต่งรถเอง เช่นผม

เห็นแห้งๆแต่โหลดเร็วเฟ่อ !!!

แต่ถึง UI มันจะออกแบบมาดีแค่ไหน แต่ระบบนำทางมันเลวร้ายมาก คือตัว Minimap ในเกมจะวางถนนเป็นเส้นสีขาวๆ แล้วเส้นนำทางของระบบ GPS มันทำเป็นเส้นสีฟ้าเส้นเล็กๆ ซึ่งมันกลืนไปกับเส้นถนนใน Minimap ทำให้มองยากมาก ผมต้องเพ่งตั้งนานกว่าจะรู้ว่าผมต้องเลี้ยวไปตรงไหน พอหันกลับไปมองที่ถนน กลายเป็นว่าผมไปเสยกะรถ NPC ที่ขับสวนมา หน้าหงายไปเป็นที่เรียบร้อย

ผมไม่เข้าใจว่าทำไม Ubisoft เลือกทำแบบนี้ คืออยากคุมโทนให้มันเข้ากะสไตล์ของ UI เหรอ? (UI ในเกมโทนสีเป็นคู่สีขาว / ฟ้า / ดำ) ผมว่ามันไม่ได้อ่ะ อย่างน้อยทำให้เส้นมันเป็นสีที่มองง่ายกว่านี้ซักหน่อยได้มั้ย แล้วในอีเวนท์การแข่งบางประเภทอย่าง Hyper Cars ที่เป็นการแข่งรถข้ามเมือง (ข้ามเมืองจริงๆ ครับ 40 กว่ากิโลฯ) จะไม่มีป้ายบอกทางเลยว่าคุณต้องเลี้ยวไปทางไหน ต้องพึ่ง GPS อย่างเดียว แล้วรถก็วิ่งช้ามากฮะ 350 km/h เหลือบไปจ้องเส้นนำทางหันกลับมาอีกทีรถชนต้นไม้ข้างทางไปและ

The Crew 2, Ubisoft

กราฟิกส์ในเกม มันแห้งมาก คือเราจะเห็นตึกลอยๆ วางบนสนามหญ้าลอยๆ หลอกๆ แห้งๆ คือ Texture แย่ขนาดพวกลวดลายบนรถกับบนเสื้อผ้าเรายังเบลอๆ หยักๆ พวก Texture ตามภูเขานี่เป็นกระเบื้องสี่เหลี่ยมลายเดียวกันต่อๆๆๆๆ มองไกลๆ ละไม่เนียนเอาซะเลย แถมดีเทลในเมืองนี่งานเผามากๆ อย่างในแยก Time Square ที่ป้ายโฆษณามันจะต้องมีเยอะๆ ในเกมนี้มาเป็นหยุมหยิมเหลือเกิน ไร้ชีวิตชีวามาก แต่ผมเข้าใจว่าที่ต้องทำออกมาแบบนี้เพราะมันต้องเรนเดอร์จากบนอากาศด้วยเวลาเราขับเครื่องบิน แบบถ้าเมืองละเอียดมากๆ เราอยู่บนอากาศสูงๆ แล้วมองลงมาคอมเราอาจจะระเบิดได้

แต่ด้วยการที่มันทำออกมาแบบนี้ ทำให้การโหลดเร็วมากๆ และ Fast Travel ไม่มีการโหลดฉากให้เห็นเลย คือคุณสามารถ Fast Travel จาก San Francisco ไป Detroit ได้ทันทีแค่เปิดหน้าแผนที่ แล้วกด Fast Travel ไปที่อีเวนท์การแข่งในย่านนั้น คุณก็จะโผล่ไปที่หน้าทางเข้าอีเวนท์ทันทีโดยที่ไม่ต้องรอโหลด ซึ่งผมประทับใจตรงนี้มากๆ

อีกอย่างคือเรื่องสภาพอากาศ ในเกมจะมีสภาพอากาศหลากหลายมาก แทบจะครบเลยคือท้องฟ้าแจ่มใส มีเมฆฝน ฝนตกเบาๆ ฝนตกหนัก ฝนตกหนัก hereๆ แม้แต่หิมะก็ยังมีสภาพตั้งแต่หิมะตกขำๆ ไปจนถึงพายุหิมะเลย ซึ่งสภาพอากาศในเกมก็จะส่งผลต่อการขับรถโดยตรงด้วย และนอกจากนี้คุณยังสามารถ Custom เวลาและสภาพอากาศในโหมด Photo เองได้ด้วย แต่เนื่องจากเกมมีสภาพอากาศหลายอย่าง มันก็ไม่ได้ฉลาดพอที่จะแยกแยะได้ว่าภูมิประเทศไหนหิมะมันควรตกหรือไม่ตก

เพราะงั้น คุณจะได้เห็นหิมะตกใน LA ป้ายฮอลลีวู้ดปกคลุมไปด้วยหิมะ ทั้งเมืองกลายเป็นสีขาวโพลน แล้วคุณก็ขับไปแบบงงๆ ว่าเมืองที่ไม่มีหิมะตกมา 50 กว่าปีแล้วอยู่ดีๆ มันมีหิมะคลุมจนขาววิ้งแบบนี้ได้ยังไงวะ

แต่จุดที่ต้องชมเลยคือ การเก็บดีเทลบนตัวรถทำออกมาได้ดีมาก แต่มันไม่ได้ดีแค่ภายนอก ดีเทลข้างในก็ทำออกมาดีเช่นกัน น่าเสียดายที่รถบางคันที่มีหน้าจอด้วยดันไม่แสดงผลอะไรเลยนอกจากโลโก้ยี่ห้อรถตัวเอง อย่างน้อยโชว์ GPS หรือโชว์เพลงที่เล่นอยู่ก็ยังดี

The Crew 2, Ubisoft

พูดถึงเพลง แน่นอนในเกมมีเพลงให้ฟังครับ โดยจะแบ่งในรูปแบบของสถานีวิทยุที่ไม่มี DJ คือเปิดเพลงฟังวนไปอย่างเดียว เพลงก็มีหลายแนวเช่นแนวร็อค, ฮิปฮอป, EDM หรือเพลงละตินก็มีให้ฟัง แต่น่าเศร้าที่เพลงน้อยเหลือเกิน หมวดเพลงก็มีไม่เยอะ และแต่ละเพลงก็ไม่ติดหูเอาซะเลย

ว่าง่ายๆ คือผมปิดเพลงในเกมแล้วเปิดเพลง EUROBEAT ฟังยังอินซะกว่าน่ะ

เรื่องเสียงประกอบต่างๆ ทำออกมาได้ดี เสียงเครื่องยนต์รถ ใบพัดเรือ ใบพัดเครื่องบิน เสียงไนตรัส พื้นยางบดเบียดกับพื้นถนน เสียงล้อยักษ์ของรถบิ๊กฟุตกระแทกกับพื้นดินหลังจากตกจากแท่นกระโดดสูงนับสิบเมตร ทุกอย่างฟังชัดเจนและสมจริงมากๆ จะมีจุดติคือไดอะล็อกตัวละครที่ผมบอกไปนั่นแหละ

ณ ปัจจุบัน ระบบ MULTIPLAYER ของเกมนี้มีเพียง CO-OP เท่านั้น คือจะบอกว่า CO-OP ก็ไม่เชิง

ในเกมจะเรียกว่าเป็นระบบ Crew คือคุณตั้งปาร์ตี้ 4 คน ลงไปแข่งอีเวนท์อะไรก็ได้ ซึ่งในอีเวนท์นั้นจะมีการนับอันดับแบบการแข่งปกติทั่วไป

แต่ถ้าหากคุณแพ้การแข่ง แบบเข้าเส้นชัยที่โหล่ หรือทำคะแนนได้ไม่ถึงที่กำหนดไว้ แต่มีสมาชิกใน Crew คนใดคนหนึ่งชนะการแข่ง ก็ถือว่าตัวคุณชนะการแข่งนั้นเช่นกัน ซึ่งมันเป็น Benefit สำหรับผู้เล่นเลเวลต่ำๆ ที่อยากปั๊มของก็ให้ผู้เล่นเลเวลสูงๆ Gear Score เยอะๆ มาช่วยแบกได้ เทียบกะเกมออนไลน์ก็พาลากมอนปั๊มเวลนั่นแหละครับ นอกจากนี้ในโหมด Free Roam จะมีแต้มพิเศษให้ผู้เล่นที่ตั้ง Crew แล้วขับรถไปด้วยกัน หรือ Photo Ops บางอย่างก็ต้องพึ่ง Crew ด้วยเช่นเอารถ Monster Truck ขับชนกัน หรือรถสองคันอัดไนตรัสวิ่งคู่กัน อะไรเทือกนี้

ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังไม่มีการเพิ่มโหมด PVP จริงจังเข้ามา แต่ตามโร้ดแมพของ Ubisoft นั้น ภายใน 20 ปี…..เอ้ย ภายในปลายปีนี้เราก็จะได้เห็นโหมด PVP กัน แต่ถ้าหากดูจากตอนนี้ผมมองว่าระบบ Crew จำเป็นสำหรับคนที่ขี้เกียจแข่งเท่านั้น

The Crew 2, Ubisoft

ผมยังยืนยันว่า The Crew 2 นั้น “สนุก” มันทำให้ผมติดได้แบบจั๋งหนับ และผมก็เพลิดเพลินไปกับมันทุกวินาที หลายๆ คนเอาไปเทียบกับ Test Drive Unlimited 2 หรือ Forza Horizon 3 ซึ่งมันก็จริง เพราะจากองค์ประกอบหลายๆ อย่าง The Crew 2 พยายามจะเป็นแบบสองเกมนั้นให้ได้ ซึ่งตัวผมเองก็ไม่อยากเทียบอะไรมากมาย เพราะมันไม่ได้เป็นเกมเดียวกัน ไม่ได้มาจากแฟรนไชส์เดียวกัน มันคือเกมที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว The Crew 2 มีลายเซ็นต์ปรากฏอย่างชัดเจนในตัว คือเป็น Jack of all trades ที่มีทุกองค์ประกอบของเกมแนว Racing ทั้งแข่งรถ แข่งมอเตอร์ไซค์ แข่งเครื่องบิน แข่งเรือ แต่แม้จะทำออกมาได้ดี แต่ก็ไม่ได้ดีที่สุดไปสักทาง ซึ่งสำหรับผมนั่นถือว่ามันก็โอเค

อย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น คือมันเหมือนร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอย ที่แม้จะไม่ได้อร่อยเลิศเท่ากับร้านหรูระดับมิชเชลิน 3 ดาว แต่มันก็อร่อย


Second Opinion

“หลังจากภาคแรกที่ค่อนข้างกระท่อนกระแท่นไปในหลายด้าน ผมว่าภาคนี้ Ubisoft และทีมพัฒนา Ivory Tower กลับลำได้ค่อนข้างสวยงามเลยนะ”

ในมุมของเกมเพลย์ภาคนี้ ผมรู้สึกว่าระบบแน่นดีในด้านของการขับขี่ทางบก ครั้งสุดท้ายที่ผมสนุกกับการขับรถสี่ล้อในเกม AAA ก็คงจะเป็นช่วงสมัย Need for Speed Carbon นู่นเลย ผมเน้นนะว่าแค่สี่ล้อ แล้วบางชนิดด้วย รถสปอร์ตผมว่าระบบมันมีน้ำหนักกำลังดี ใช้เวลานิดหน่อยก็ชิน ผมใช้เวลาเล่นประมาณ 1 ชม. ถึงจะเข้าโค้งดึงเบรคมือพร้อมกดไนตรัสตอนหลุดโค้งแบบคล่องปรื๋อ มันเป็นโค้งการเรียนรู้ที่พอใช้ได้อยู่

ที่ผมช็อคกับตัวเองว่าชอบมากคือเรือ ผมรู้สึกว่าระบบมันสนุกดีนะ ไม่ได้คุมยากเกินไป แต่ในส่วนที่เหลือก็ดรอปลงมานิดหน่อย ออฟโรดก็เล่นสนุกดี อาจจะลื่นๆ นิดหน่อย ตามแบบฉบับของมัน มอนสเตอร์ทรัคขับลำบากมาก แล้วที่ผมเจอตอนนี้ก็มีแต่โหมดที่ให้เล่นชนป้ายเก็บคะแนน น่าเบื่อสุดแล้ว

มอเตอร์ไซค์ผมรู้สึกว่ายังแปลกๆ อยู่ เพราะจังหวะการเอี้ยวตัวมันใช้เวลาพอควร เครื่องบินนี่ผมรู้สึกว่ามันหนักเกินไป ทั้งการบิดตัว การเลี้ยว เก้งก้างเกินควร ทั้งๆ ที่เป็นเครื่องบินสตันท์แต่รู้สึกไม่ค่อยผาดโผนเลย เพราะมันมีโหมด Extreme ให้กดอีก พอกดแล้วระบบคุมพลิ้วเกินจนคุมแทบไม่อยู่ไป เอ้า งงไปสิ ความพอดีอยู่ตรงไหน

แมพใหญ่มาก รายละเอียดพอใช้ได้ แต่มันก็คือแค่ใหญ่ ผมรู้สึกว่ามันมีไว้แค่นั้น เพราะถ้าอยากทำภารกิจอะไรก็วาร์ปไปตรงนั้นได้เลย ไม่ต้องขับไป มันก็สะดวกดี แต่มันทำให้แมพใหญ่ไร้ประโยชน์ไปเลย เหมือนเล่นเกมขับรถสมัยก่อนที่เลือกแข่งเอาจากเมนู อย่างน้อยก็ที่ผมเล่นคนเดียวในตอนนี้ ถ้าขับเล่นกับเพื่อนมันก็อาจจะสนุกอยู่ อารมณ์ขับกินลมชิวๆ แต่ผมมองว่าคือเกมหลักมันอยู่ในการแข่งรถ ไม่ใช่การขับรถเล่น

ธีมภาคนี้ค่อนข้างจะมีความ Cringe อยู่พอควร (ดูตลกๆออกไปแนวเด็กๆหน้อยไม่เหมือนภาคแรกทีเนื้อหามีความจริงจัง) ต้องใช้เวลาในการปรับตัว โดยทาง Ivory Tower เอาธีม ’เด็กแนว’ แบบ GoPro มาเล่น ซึ่งจริงๆ มันก็กำลังจะเอ้าท์อยู่แล้วล่ะนะ

ระบบมาแนว Watch_Dogs 2 เลยคือแทนหลอด XP ด้วยจำนวน Followers ผมมองว่ามันสมเหตุผลนะ ในจักรวาลนี้ เพราะเราแข่งรถเพื่ออวดความคูลอยู่แล้ว ไม่เหมือนใน Watch_Dogs 2 ที่เป็นแฮคเกอร์ฆ่าคนตายเซลฟี่ลงเน็ตแล้วได้คนตามเฉย

ในด้านพอร์ท PC ผมต้องยกนิ้วให้เลยว่าพอร์ทนี้ดีมาก ใครที่สเปคอยู่ระดับกลางเป็นต้นไป ผมว่าสามารถที่จะแตะ 60fps นอกฉากที่เป็นเมืองใหญ่ๆ ได้เลยนะ ถ้ายอมปรับกราฟฟิคต่ำๆ หน่อย แต่ผมแนะนำให้ปรับต่ำหน่อย เพราะยังไงเกมมันก็เร็วอยู่แล้ว คงไม่ได้เห็นรายละเอียดเท่าไหร่ สิ่งที่สำคัญเช่นโมเดลรถนั้นเนี้ยบมาก ต่อให้ปรับต่ำก็สวย ฉะนั้นถ้าอยากลื่นปรื๊ดก็ All Low ได้แบบไม่น่าเกลียดเลยล่ะ ที่ช็อคคือไม่มีปัญหาเรื่องการกระตุกเวลาขับรถแบบที่เกมอื่นมี ต่อให้ขับเร็วแค่ไหนเฟรมเรทก็แทบไม่ตกเลย

สรุปความประทับแรก

ในช่วง 5 ชั่วโมงที่ผมเล่นมานี้ ผมมองว่า THE CREW 2 เป็นเกมแข่งรถที่สนุกเกมหนึ่งเลย เล่นคนเดียวก็สนุกได้เพลินๆ เหมือนเกมขับรถทั่วไป ถ้าเล่นกับเพื่อนก็อาจจะเป็นฟิลล์ขับทัวร์ชิวๆ ด้วย แข่งรถด้วย คงจะสนุกสนานไปอีกแบบ ซึ่งตอนนี้ผมเองยังไม่มีโอกาสได้เล่นกับเพื่อน แต่ในรีวิวเต็มเราจะกลับมาพูดถึงประสบการณ์เมื่อเล่นกับเพื่อนแน่นอน

ความคิดเห็นโดย: พันธวิศ สุขใจดี

Share this article
0
Share
0 Share
0 Tweet
0 Share
0 Share
Shareable URL
Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

0
Share