จากซีรี่ส์ยอดฮิตและเกมแห่งยุคสู่วิดีโอเกมที่ชื่อ Dying Light 2
Dying Light ภาคแรกนับว่าเป็นหนึ่งในเกมที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย แม้ในช่วงแรกของการวางจำหน่ายมันทำท่าจะไปไม่รอด แต่ด้วยแรงฮึดของ Techland ทีมพัฒนาสัญชาติโปแลนด์เล็กๆที่ไม่ยอมทิ้งความตั้งใจของตัวเองและความแน่วแน่ในรูปแบบของเกมการเล่นที่พวกเขาต้องการที่จะนำเสนอ ก็ทำให้มันกลายเป็นเกมที่ได้รับความนิยมไปแบบเกินคาดไปในท้ายที่สุด ที่แม้ว่าเกมจะออกวางจำหน่ายมาแล้วตั้งแต่ปี 2015 จนมาถึงปี 2018 นี้ มันก็ยังคงเป็นหนึ่งเกมที่ยังมีหลายคนยังหวนกลับไปเล่นกันอยู่ไม่น้อย และในปีนี้ทาง Techland ก็ได้ขอกลับมาสานฝันของพวกเขาให้ไปได้ไกลกว่าเดิมแล้วกับภาคต่อของมันอย่าง Dying Light 2
Dying Light 2 นั้นเป็นเกมแนวแอ็คชั่นมุมมองบุคคลที่หนึ่งแนวเอาตัวรอดจากบรรดาฝูงซอมบี้ที่มีฉากหลังเป็นโลกหลังหายนะ(Post Apocalypse) โดยมีลูกเล่นในเกมที่เป็นจุดสนใจอย่างความสามารในการควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวละครในรูปแบบ Parkour หรือ Free Running โดยในปีนี้มันก็ได้เปิดตัวภาคต่อของมันออกมาเป็นทางการแล้วในงาน E3 2018 ที่ได้นำเอาเกมเพลย์ของตัวเกมมาแสดงให้เราได้ชมกัน ซึ่งเราก็คงจะได้เห็นกันแล้วว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากขนาดไหน โดยเฉพาะในส่วนของโลกของตัวเกมนั้นก็อาจจะเรียกได้ว่ามันมีความเป็นพลวัต(Dynamic) ที่มากกว่าเดิมเป็นอย่างมาก เพราะใน Dying Light 2 นั้น สิ่งต่างๆที่เรากระทำจะส่งผลต่อโลกของตัวเกมแทบจะทั้งหมดและไม่เพียงแต่การเลือกตัวเลือกในการตัดสินใจบางอย่างเท่านั้น แต่มันจะรวมไปถึงกลวิธีการเล่นของเราด้วยที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของโลกในเกม
แล้วอะไรคือสิ่งแรกที่ Dying Light 2 แตกต่างไปจากภาคแรก?
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า Dying Light 2 นั้นจะแตกต่างจากภาคแรกตรงความเป็นพลวัตทางด้านเนื้อเรื่องที่การกระทำของผู้เล่นจะส่งผลต่อโลกในเกม ดังเช่นในตัวอย่างที่ทีมงานได้นำมาโชว์ให้เราได้ชมกันในงาน E3 เราก็คงจะได้เห็นกันไปแล้วว่า เราสามารถที่จะเลือกเข้าฝ่ายต่างๆที่อยู่ในเกมได้ และเราก็เลือกที่จะทำอะไรบางอย่างหรือ ‘ไม่’ ทำบางอย่างที่จะส่งผลต่อโลกของเกมได้ เช่นหากเราเลือกที่จะไม่ช่วยเหลืออีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายๆนั้นก็จะไม่สามารถสร้างฐานที่มั่นในเกมได้ หรือหากการกระทำของเราส่งผลจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำของหน่วย Peacekeeper ที่คอยดูและความสงบในเมืองนั้น มันก็อาจจะนำมาซึ่งกฎการปกครองใหม่ภายในเมืองที่จะแตกต่างไปจากเดิมได้เช่นกัน โดยคุณไทมอน สเมคทาลา (Tymon Smektala) ได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงไปของตัวเกม Dying Light 2 นี้ให้กับทางเว็บไซต์ Games Radar ได้ฟังว่า
“ผมคิดว่ามันมีสามแนวคิดที่อยู่ในหัวของเราในตอนนี้ อย่างแรกคือสิ่งที่เราได้ทำไปจนประสบความสำเร็จแล้วกับเกม Dying Light ภาคแรกที่ผู้คนก็ต่างก็ชื่นชอบเกมเพลย์ของมัน และเราก็รู้ดีว่าเราต้องยึดมั่นในเกมเพลย์ดั้งเดิมของเรา แต่มันต้องมีการอัพเกรดและขยายมันออกไปด้วย
อย่างที่สองก็คือเรารู้สึกว่าเราจำเป็นที่จะต้องสร้างโลกที่ทำให้ผู้คนมีส่วนร่วมกับมันให้ได้โลกที่ผู้คนจะต้องตื่นเต้นไปกับมัน และเป็นโลกที่ผู้คนนั้นจะต้องเล่นมันไปเป็นเดือนหรืออาจจะเป็นปี และนั่นแหละที่เป็นที่มาที่ของไอเดีย “ยุคมืดสมัยใหม่” (Modern Dark Age) เพราะเซ็ตติ้งของมันสามารถทำงานร่วมกันได้หลายระดับ เช่นการสร้างแรงผลักดันทางด้านเนื้อเรื่อง เพราะยามเมื่อมนุษยชาติย้อนเข้าสู่ยุคมืดนั้นมันก็ทำให้มนุษย์กลับทำในสิ่งที่พวกเขาเคยได้ทำกันมาเมื่อครั้งอดีต ไม่ว่าจะเป็นการทรยศหักหลังเรื่องราวของการเสื่อมศรัทธาที่นำไปสู่การทำเรื่องนอกจารีต และการเล่นเล่ห์เพทุบายทุกอย่างที่คุณเคยได้รู้จักจาก Game of Thrones สามารถเกิดขึ้นได้ในเกมๆนี้
ในด้านงานภาพแล้วมันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะมันมีความขัดแย้งกันระหว่างโลกสมัยใหม่และสิ่งที่ผู้คนมักกระทำกันในยามที่พวกเขาเข้าสู่ยุคมืดด้วยคบเพลิงและอาวุธในระยะประชิด เราใช้สิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ก็จริงแต่เราก็ได้เพิ่มเติมอะไรบางอย่างเข้าไปในการสร้างให้เหล่าผู้รอดชีวิตนั้นเหมือนกับเป็นชาวป้อมปราการ ด้วยสิ่งที่ทรงพลังสำหรับเราในการใช้วางเป็นรากฐาน
อย่างที่สามนั้น เราอาจจะบอกได้ว่าสิ่งที่พวกเราในฐานะบริษัทเน้นกับมันเป็นอย่างมากก็คือเกมเพลย์เรามั่นใจในเกมการเล่นของเรามาก แต่เราไม่มั่นใจในทักษะด้านการดำเนินเรื่องราวเลยเช่นเดียวกับกับความสามารถในการบอกเล่าเรื่อง และใน Dying Light 2 นี้ เราก็รู้ดีว่าเราต้องสร้างเกมที่เกมเพลย์นั้นจะต้องดีเทียบเท่ากับการดำเนินเรื่อง และการดำเนินเรื่องนั้นก็ต้องดีเทียบเท่ากับเกมการเล่น และนั่นแหละที่เป็นสาเหตุให้เราตัดสินใจที่จะร่วมงานกับ ‘คริส อเวลโลน’ ซึ่งสาเหตุที่ทำไมเราถึงต้องตัดสินใจที่จะร่วมงานกับผู้เขียนบทเควส Bloody Baron ในเกม The Witcher 3 นั้นก็เพราะว่าเราได้เพิ่มขนาดทีมงานนักเขียนภายในบริษัทของเราเป็น 3 เท่าตัวแล้ว”
การทำรายละเอียดต่างๆที่เยอะขึ้นมากขนาดนี้จะทำให้ Dying Light 2 เป็นเกมที่มันจะสร้างยากมากขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่าล่ะ?
เรื่องนี้คุณไทมอน ก็ได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า
“ในตอนเริ่มต้นล่ะก็ใช่ครับ แต่หลังจากที่ได้เห็นผลลัพธ์ของมันในตอนนี้ เราก็ได้เห็นโลกของเกมที่ได้ถูกำหนดให้มันใหญ่ขึ้นมากกว่าเกมภาคแรกแล้ว ซึ่งในภาคแรกเราก็ทำได้แค่การให้ผู้เล่นได้ใช้ลีลา Parkour ในการไล่ตีหัวซอมบี้เท่านั้น แต่ในตอนนี้เรามีคริสและทีมงานมากมายมาร่วมหัวจมท้ายไปกับเรา ซึ่งทำให้เราสามารถที่จะสร้างโลกที่มีไอเดียหลากหลายและน่าสนใจได้ และเราก็สามารถที่จะใช้ไอเดียเหล่านั้นมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับระบบเกมการเล่นของเราได้อีกด้วย”
ก็เรียกได้ว่าเป็นเกมที่น่าจับตาไม่น้อยทีเดียวนะครับ สำหรับ Dying Light 2 ว่ามันจะทำได้ตามที่ทางคุณไทมอน สเมคทาลา คาดหวังเอาไว้หรือเปล่า แต่เชื่อว่าด้วยชื่อชั้นของ ‘คริส อเวลโลน’ ที่ได้ฝากผลงานระดับเอกอุเอาไว้มากมายไม่ว่าจะเป็น Planescape: Torment,Fallout: New Vegas,Prey (2017) และอื่นๆอีกมากมายนั้น เมื่อมาผนวกกับเกมเพลย์และความมุมานะทุ่มเทของทีมงาน Techland แล้ว ก็เชื่อได้ว่ามันจะเป็นอีกหนึ่งเกมภาคต่อที่จะเป็นที่ถูกกล่าวขานเมื่อมันออกวางจำหน่ายอย่างแน่นอนกับ Dying Light 2
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- How Dying Light 2 is inspired by The Witcher 3 and Game of Thrones
- Dying Light 2 Will Offer a “Common Thread” To Tie Everything Together
ข่าวอื่นๆที่น่าสนใจในรอบวัน:
- Shenmue และ Shenmue 2 HD เตรียมวางจำหน่ายในวันที่ 21 สิงหาคม นี้แล้วทั้งบน PS4,Xbox One และ PC
- Destiny 2 เตรียมเปิดให้บริการในเกาหลีในรูปแบบเกม Free to Play โดยจะใช้ชื่อว่า Destiny: Guardians
- เกมใหม่ของผู้สร้าง A Way Out จะได้ทาง EA มาเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย
- Pokemon Quest ทำเงินไปแล้ว 3 ล้านเหรียญสหรัฐในสัปดาห์แรกที่เกมลงมือถือ
- Nintendo วางผนที่จะส่งเครื่อง Nintendo Switch ออกไปวางจำหน่ายให้ได้ถึง 20 ล้านเครื่องในปีนี้