Microsoft ประกาศวางจำหน่าย Xbox Series X และ Xbox Series S อย่างเป็นทางการแล้ว โดยตัวเครื่องจะวางจำหน่ายในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ โดยที่ Xbox Series X จะมีราคาอยู่ที่ 499 เหรียญ (ราว 15,600 บาท) และ Xbox Series S จะมีราคาอยู่ที่ 299 เหรียญ (ราว 9,350 บาท) โดยที่ทาง Microsoft เตรียมที่จะเปิดให้สั่งจองตัวเครื่องกันล่วงหน้าแล้วในวันที่ 22 กันยายนนี้
สำหรับการประกาศการวางจำหน่ายเครื่องเกมทั้งสองรุ่นนั้น ทาง Microsoft ได้แถลงการออกมาว่าพวกเขาทราบดีว่าปัจจัยเรื่องราคานั้นส่งผลกับการตัดสินใจของเหล่าแฟนๆ เป็นอย่างมาก และมันก็เป็นสาเหตุที่พวกเขาได้มีการสร้างเครื่องในตระกูล Xbox Series S ออกมาวางจำหน่ายด้วยเพื่อให้แฟนๆ สามารถเข้าถึงการเล่นเกมในยุคใหม่ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมโดยที่ตัวเครื่องจะรองรับเฉพาะการเล่นเกมในรูปแบบดิจิทัลดาวน์โหลดเท่านั้น แต่มันก็ยังคงความเป็นเครื่องเกมในยุคใหม่ที่จะมาพร้อมกับ ระยะเวลาในการโหลดที่รวด, เฟรมเรตที่สูงขึ้น, และโลกของเกมที่มีพลวัตมากขึ้นกว่าเดิมในเครื่อง Xbox ที่พวกเขาบอกว่ามันเป็นเครื่อง Xbox ที่มีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่เคยได้ทำมา
ซึ่งนอกจากการประกาศราคาและวันวางจำหน่ายของตัวเครื่อง Xbox แล้วพวกเขาก็จะมีการขยายพื้นที่การให้บริการ Xbox All Access เพิ่มขึ้นเป็น 12 ประเทศในช่วงปลายปีนี้ (ยังไม่มีประเทศไทย) และก็มีแผนที่จะเพิ่มเติมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2021 และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือบริการ EA Play จะมาเป็นส่วนหนึ่งของ Xbox Game Pass อีกด้วยโดยที่ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างใด
สำหรับเกมที่จะออกวางจำหน่ายพร้อมกับเครื่อง Xbox Series X และ Xbox Series S นั้นก็ได้แก่เกม Gears Tactics, Tetris Effect: Connected และเกมจากทางค่าย Ubisoft อย่าง Assassin’s Creed Valhalla และ Watch Dogs: Legion ที่จะมาแสดงศักยภาพของเครื่องเกมในยุคใหม่ให้เหล่าเกมเมอร์ได้เห็นกันอย่างแน่นอน
ตารางเปรียบเทียบสเปคของ Xbox Series X และ Xbox Series S
และสำหรับ Xbox Series S นั้นมันก็ยังมีการออกแบบโดยพื้นฐานเดียวกับ Xbox Series X อีกด้วยซึ่งมันก็จะแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ ด้วยสถาปัตยกรรมการออกแบบ Xbox Velocity Architecture มันจึงทำได้ตัวเครื่อง Xbox Series S ยังคงเป็นเครื่องเกมที่มีเวลาในการโหลดที่รวดเร็ว มีระบบการ Quick Resume และยังรองรับฟีเจอร์ของ HDMI 2.1 ที่รองรับเฟรมเรตที่ 120fps และก็ยังคงมีการแสดงผลในรูปแบบ DirectX Raytracing และ Variable Rate Shading ในส่วนของระบบเสียงมันก็ยังจะรองรับระบบเสียง Spatial Sound ทั้ง Dolby Atmos และ Dolby Vision ที่มีอยู่บนแอปพลิเคชันที่จะมาพร้อมกับตัวเครื่องอย่าง Disney+, Vudu, Netflix ในตอนที่มันออกวางจำหน่าย และนอกจากนี้ระบบ Dolby Vision สำหรับการเล่นเกมก็จะมีออกมาให้ได้สัมผัสกันภายในปี 2021 อีกด้วย
และสุดท้ายตัวเครื่อง Xbox Series X และ Xbox Series S เองก็จะยังรองรับระบบ backward-compatible เช่นเดียวกับ Xbox One ซึ่งก็เป็นการการันตีได้ว่าในตอนที่มันออกวางจำหน่ายในช่วงแรกมันก็จะมีเกมจากยุคปัจจุบันและยุคก่อนให้เราได้เล่นกันอีกนับพันเกมเลยทีเดียว