เจาะลึกข้อมูลแรกอย่างละเอียดของ Vampire: The Masquerade – Bloodlines 2

ย้อนกลับไปเมื่อราว 14 ปีที่แล้ว หนึ่งในเกมที่ถือกำเนิดเคียงคู่กันมากับเกมในตำนานอย่าง Half Life 2 ก็คือเกมที่ชื่อว่า Vampire: The Masquerade – Bloodlines เกม RPG ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานในการนำโลกของเกมกระดานของ White Wolf มาดัดแปลงให้เป็นวิดีโอเกมด้วย Source เอนจินอันเป็นขุมพลังชิ้นใหม่ของทีมงาน Valve ที่ได้ทำให้ Half Life 2 ยังคงเป็นหนึ่งในเกมยอดเยี่ยมตลอดกาลอยู่ในทุกวันนี้ แต่ด้วยปัญหาทางด้านเทคนิคต่างๆ และด้วยเทคโนโลยีของ Source เอนจินอันเป็นของใหม่ที่เกินตัวความสามารถของทีมพัฒนา Troika Games นั้น ก็ทำให้ Vampire: The Masquerade ไปได้ไม่ถึงฝั่งฝันอย่างที่ทีมงานได้ตั้งใจไว้ แต่อย่างไรก็ดีด้วยรากฐานของเกมที่แน่นและเรื่องราวอันลุ่มลึก ก็ได้ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในเกมที่เราอาจจะเรียกได้ว่า “คัลท์คลาสสิค” และยังเป็นสิ่งที่เรายังคงถวิลหามาจนถึงทุกวันนี้

แต่มันจะเป็นอย่างไรล่ะ? หาก Vampire: The Masquerade – Bloodlines ไม่ได้ออกวางจำหน่ายพร้อมกับ Half Life 2 จะเป็นอย่างไรหากมันเป็นเกมที่ได้รับการขัดเกลาจนไร้ซึ่งปัญหาใดๆ เชื่อได้ว่ามันจะเป็นเกมในฝันใครหลายๆ คนได้อย่างแน่นอน และรวมไปถึงทีมพัฒนา Hardsuit Labs ผู้ที่จะมาสานต่อความฝันของพวกเขาในการสร้างเกมภาคใหม่อย่าง Vampire: The Masquerade – Bloodlines 2 อีกด้วย

“ถ้าพวกเขามาขอให้ผมทำมันในตอนนั้นผมก็จะทำมันอีก” Brian Mitsoda หัวหน้าทีมผู้ออกแบบการเล่าเรื่องของเกม Vampire: The Masquerade – Bloodlines ภาคแรกและภาค 2 ให้สัมภาษณ์กับทางทีมงาน PC Gamer “ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้แฟรนไชส์ของ World of Darkness มันยอดเยี่ยมก็คือมันมีเพียงแค่ตัวเมืองอันโดดเดี่ยวเพียงเมืองเดียว ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวนับร้อย นั่นจึงทำให้มันมีเรื่องราวมากมายให้บอกเล่าเสมอ”

คุณ Brian Mitsoda ในตอนนี้ได้มาทำงานร่วมกับทาง Hardsuit Labs แล้วในฐานะหนึ่งทีมพัฒนาและหัวหน้าทีมออกแบบของเกม Bloodlines 2 ที่จะได้ทาง Paradox Interactive มาทำหน้าที่ในการผลิตและจัดจำหน่าย หลังจากที่พวกเขาได้เข้าซื้อกิจการของผู้ผลิตเกมกระดานแนวสวมบทบาทอย่าง White Wolf มาในปี 2015 และทำให้พวกเขาได้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของแบรนด์ World of Darkness อันเป็นจักรวาลของเกม Vampire: The Masquerade มาไว้ในมือ ทันทีที่ Paradox เข้าซื้อกิจการสำเร็จ ทางทีมงาน Hardsuit Labs ก็ได้เริ่มพัฒนาแนวคิดต่างๆ ของ Bloodlines 2 และเป็นผู้ที่ยื่นเสนอเจตจำนงในการสร้างเกมๆ นี้กับทาง Paradox โดยตรงอย่างทันท่วงที

“ตอนที่ Paradox ได้สิทธิ์ของ World of Darkness มาภายในเวลาราว 10 นาทีเลยครับ ผมเรียก Ka’ ai Cluney ที่เป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์มาที่ออฟฟิศและผมก็บอกเขาไปว่า ‘เราต้องติดต่อไปที่ Paradox เลย คุณพอจะรู้จักคนที่นั่นบ้างไหม เพราะเราต้องการที่จะเสนอไอเดียในการสร้างเกม’” Andy Kipling, CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Hardsuit Labs เล่าให้ทางทีมงาน PC Gamer ได้ฟังถึงวันแรกที่พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะมาทำหน้าที่ในการพัฒนาเกม Bloodlines 2 “เราใช้เวลาในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมและมกราคมในการเอาทุกอย่างมารวมกันทั้งหมดและเอาไปแสดงให้พวกเขาดูในงาน DICE สมมติฐานของผมคือมันอาจจะเป็นอะไรที่คุ้มค่าตอนนั้นหาก Paradox มีแผนการที่ชัดเจนอยู่แล้ว และพวกเราก็มาพร้อมกับแผนการที่มีความเสี่ยงอย่างมากในระยะเวลาอันกระชั้นชิดขนาดนั้น”

และสมมติฐานของคุณ Andy Kipling ก็ถูกต้องเพราะ Paradox ได้มีแผนการสำหรับ Bloodlines 2 เอาไว้แล้ว “แต่มันเป็นอะไรบางอย่างที่เราจะต้องพิจารณาถึงคุณค่าของมัน และเราก็ไม่อยากที่จะหยิบยื่นมันไปให้ใครง่ายๆ” คุณ Florian Schwarzer ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของเกม Paradox Interactive กล่าว

และไม่น่าแปลกใจนักที่ Paradox เองก็เป็นฝ่ายที่กังขาแผนการของ Hardsuit Labs เป็นอย่างมาก “ผมได้เข้าไปประชุมผ่านทาง Skype และหวังว่าพวกเขาจะถูกฝังลงหลุมไปด้วยซ้ำ” คุณ Schwarzer เล่าต่อ แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่ก็คือสิ่งที่ทาง Hardsuit Labs ได้นำมาแสดงนั้นมันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากๆ และ ณ จุดจุดนั้นพวกเขาก็ได้เริ่มพูดคุยถึงการเตรียมงานสร้างในทันที “มันเป็นความเสี่ยงมากๆ สำหรับทีมงาน Hardsuit Labs ที่พาเรามาถึงจุดที่เราต้องตัดสินพวกเขา ไม่มีอะไรที่มากหรือน้อยไปกว่านั้นเลย”

แต่อย่างไรก็ดีทาง Paradox ก็ชื่อว่ามันน่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยง และในตอนนี้ทางทีมงาน Hardsuit Labs ก็ได้มีตัวอย่างที่เล่นได้ของเกมออกมาให้เหล่าสื่อมวลชนได้ชมกันไปแล้ว ซึ่งเป็นเดโมของเกมที่ยาวถึง 30 นาทีที่ทางคุณ Christian Schlütter หัวหน้าทีมอำนวยการสร้างของเกม Bloodlines 2 ได้สาธิตให้กับทางทีมงาน PCGamer ได้ชม ซึ่ง ณ เวลานั้นเกมได้ถูกเรียกชื่อในการพัฒนาว่า “Preject Fraiser”

ทันทีที่เดโมของ Bloodlines 2 เริ่มต้นมันก็เป็นเหมือนกับการนำพาเอาผู้เล่นกลับไปยังเกมในภาคต้นฉบับอีกครั้ง ตัวละครเอกของเราที่จะสามารถปรับแต่งภาพลักษณ์และเนื้อเรื่องปูมหลังได้ก่อนที่เราจะได้เริ่มต้นเล่นเกม ซึ่งเริ่มเกมมาเราจะตื่นขึ้นมาที่ว่าการของศาลแห่งหนึ่ง ในสถานการณ์ที่เราอาจจะเป็นได้ทั้งประจักษ์พยานหรือเป็นผู้ต้องสงสัยเสียเองในเหตุการณ์ Mass Embrace เหตุการณ์อันเป็นการรุกรานอันน่าหวาดหวั่นโดยพลังเหนือธรรมชาติ ที่เข้าโจมตีใส่มนุษย์ตามท้องถนนซึ่งทำให้มนุษย์ที่ถูกโจมตีและอาจจะรวมถึงตัวคุณด้วยกลายเป็นแวมไพร์อย่างผิดกฎจารีต ตัวแทนจากตระกูลทั้งหลายของเหล่าผีดูดเลือดรวมไปถึง Camirilla ได้เข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ในการไต่สวนการบังคับคดีในครั้งนี้ และหลังจากที่พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวจากมุมมองต่างๆ ไฟก็ได้โหมกระหน่ำเข้ามายังตัวอาคาร และทำให้คุณสามารถใช้ช่วงจังหวะชุลมุนนั้นหลบหนีออกมาได้

Bloodlines 2 เป็นเกมที่พัฒนาโดยใช้ Unreal Engine 4 ในการสร้าง และโดยส่วนมากแล้วเราก็จะได้เล่นมันในมุมมองบุคคลที่หนึ่งเป็นหลัก ซึ่งในระหว่างที่หลบหนีออกมาจากศาลนั้นเองเกมก็จะเริ่มสอนเกมระบบเกมต่างๆ ให้เราได้รับรู้ ไม่เหมือนกับเกม Bloodlines ภาคแรก คุณจะไม่ได้เลือกตระกูลของตัวละครแต่แรกในการสร้างตัวละคร แต่ผู้เล่นจะเริ่มต้นด้วยการเป็นผีดูเลือดเชื้อสาย “thin-blood” ซึ่งเป็นเชื้อสายที่อ่อนแอที่มาพร้อมกับพลังอันเป็นเอกลักษณ์

ทีมงาน Hardsuit Labs ได้อธิบายถึงสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ามันเป็นตัวเลือกที่ดูเข้าท่ามากที่สุดในการนำเสนอรูปแบบการเล่าเรื่องและกลไกของเกม “มันมีเรื่องราวปัญหาทางการเมืองมากมายกับพวก thing-blood และการเป็นพวก thin-blood นั้นก็จะทำให้มันมีความท้าทายมากขึ้นในโลกเกมของ World of Darkness ครับ มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากเลยนะครับสำหรับเกม RPG” คุณ Mitsoda อธิบาย โดยคุณ Kipling ยังได้เสริมอีกด้วยว่า การเริ่มเกมโดยที่ผู้เล่นไม่ได้อยู่ในสังกัดตระกูลใดนั้นจะเป็นการเพิ่มโอกาส “ในการทำความเข้าถึงความสำคัญของตระกูลและทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ของการเลือกได้มากขึ้น มากกว่าการที่จะให้ผู้เล่นไปตัดสินใจเอาล่วงหน้าและใช้เวลา 30 นาทีเพื่อที่จะให้เกมดำเนินเรื่องราวก่อนที่จะพบว่า ‘บ้าจริง รู้งี้ไปเลือกเล่นอย่างอื่นดีกว่า’”

ผู้เล่นจะได้เลือกตระกูลหลังจากที่เกมได้ดำเนินไปแล้ว ซึ่งในตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ว่ามันจะมีตระกูลไหนบ้าง แต่พวกเขาก็ได้ยืนยันแล้วว่าอย่างน้อยมันจะมีตัวละเลือกให้ผู้เล่นถึง 5 ตระกูลซึ่งฟังดูอาจจะน้อยกว่า Bloodlines ภาคแรก และทั้ง Hardsuit Labs และ Paradox นั้นก็จะทำให้แต่ละตระกูลมีรูปแบบการเล่นที่แปลกอย่างและแตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน

“เราต้องการให้การเลือกตระกูลเป็นการส่งมอบความเป็นแฟนตาซีกับผู้เล่น” คุณ Schlütter อธิบาย “ถ้ามีบางคนอยากที่จะต่อยหน้าผู้คนเราก็จะมีตระกูลนั้นสำหรับคุณ ถ้ามีบางคนเป็นผู้เล่นเกมสวมบทบาทแบบปกติ หรือชอบที่จะเล่นเป็นจอมเวทอะไรประมาณนั้น เราก็จะมีตระกูลแบบนั้น” และนอกไปจากนี้ในการเลือกตระกูลมันจะทำให้คุณสามารถเข้าถึงความสามารถและสถานที่เฉพาะของตระกูลได้อีกด้วย” ถ้าคุณต้องการเข้าถึงทุกอย่างในเกมจริงๆ คุณก็ต้องเล่นไปหลากหลายตระกูลเลยทีเดียว” คุณ Schwarzer กล่าว

แม้เอกลักษณ์ของตระกูลต่างๆ จะยังไม่มีการเปิดเผยออกมาในตอนนี้ แต่ในตัวอย่างที่ทางทีมงานได้นำมาแสดงนั้น เราก็จะได้เห็นความสามารถของพวก thin-blood ที่สามารถงอกปีกค้างคาวออกมาได้ สามารถแปลงร่างเป็นหมอกได้ และสามารถใช้พลังจิตในการยกสิ่งของจากระยะไกลได้ โดยหลังจากที่เสร็จสิ้นจากส่วนการสอนของเกมแล้วผู้เล่นก็จะได้เลือกพลังจากซับเซตของ Skill เหล่านี้

สภาพแวดล้อมในเกมได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อเพื่อที่จะทำให้คุณค้นพบเส้นทางที่หลากหลาย เช่นเดียวกับ Bloodlines ภาคแรก ทาง Paradox เองก็ได้เอาเกมอย่าง System Shock, Deus Ex และ Dishonored มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง “เกมๆ นี้จะให้อิสระกับพวกคุณในการออกสำรวจโลก แต่มันก็ยังก็จะทำให้คุณได้เผชิญกับสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับวิธีการที่คุณต้องการ” คุณ Schlütter กล่าว “เราได้นำเอาแนวทางการเล่นมาวางเตรียมไว้ และแน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่เราอยากที่จะนำเสนอมันใน Bloodlines 2”

ทันทีหลังจากที่คุณซึ่งเป็นผีดูดเลือดได้หลบหนีมาจากชั้นใต้ดินของที่ว่าการศาล มันก็ได้นำพาเราไปสู่พื้นที่ใหม่ที่ดูเหมือนจะเป็นเมืองใต้ดินที่ล่มสลาย ฉากหลังของ Bloodlines 2 คือเมืองซีแอตเทิลในยุคร่วมสมัย โดยเมืองที่ล่มสลายนี้เป็นส่วนหนึ่งของนครซีแอตเทิลเก่าซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยร่องรอยของเหตุการณ์ไฟไหม้ในปี 1889 และในการสวมบทบาทของคุณในฐานะผีดูดเลือด เมืองซิแอตเทิลใต้ดินนี้ก็จะเป็นส่วนสำคัญในการเล่นเป็นอย่างมาก แม้ทาง Hardsuit Labs และ Paradox จะไม่ได้จำเพาะจงว่ามันจะสำคัญอย่างไรในตอนนี้ แต่พวกเขาก็ยินดีที่จะเล่าถึงสาเหตุที่เลือกเมืองซีแอตเทิลมาเป็นฉากหลังให้ได้ฟังว่า “อย่างแรกคือเราอาศัยอยู่ที่นี่ มันง่ายมากสำหรับพวกเราในการรวบรวมข้อมูลสำหรับใช้ในการอ้างอิง” คุณ Mitsoda อธิบาย “สองคือมันเป็นสถานที่ที่ใหญ่ที่สุดที่ยังไม่ได้มีการนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากนักในฐานะฉากหลังของเกม”

เฉกเช่นเมืองในฝั่งตะวันตกอื่นๆ ของอเมริกา ซีแอตเทิลเป็นเมืองที่กำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเฉียบพลันและเต็มไปด้วยข้อถกเถียงต่างๆ นานา มากมายเนื่องจากมันเป็นที่ตั้งขององค์กรขนาดใหญ่อย่าง Amazon ดังนั้นมันจึงเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ให้มีความน่าอยู่และทันสมัยมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การแบ่งแยกระหว่างสิ่งใหม่ และสิ่งเก่าๆ ในเมืองซีแอตเทิลและทำให้มันได้กลายมาเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องราวในเกม Bloodlines 2

“สิ่งหนึ่งคือเรากำลังอยู่ในเมืองที่กำลังเกิดวิกฤตตัวตนอยู่ในตอนนี้ คุณน่าจะรู้ได้ว่าซีแอตเทิลมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา และมันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ขึ้นอยู่กับด้านของเทคโนโลยีและด้านของตัวเงิน” คุณ Mitsoda อธิบาย “เรามีบริษัทพันล้านเหรียญ หมื่นล้านเหรียญ และไม่ว่าอำนาจและเงินตรามันไปอยู่ที่ไหนคุณก็จะได้พบกับพวกผีดูดเลือด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่กำลังรอเวลาอยู่เท่านั้น”

bloodlines 2 seattle

ฉากของเมืองซีแอตเทิลแห่งแรกที่เราจะได้เห็นก็คือพื้นที่ริมน้ำที่อยู่ใต้อ่าว Pier 57 ซึ่งประดับไปด้วยแสงสีนีออนที่สาดส่องลงมาจากชิงช้าสวรรค์อันเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของอ่าว (เช่นเดียวกับเมือง LA ในเกม Bloodlines ภาคแรก เมืองซีแอตเทิลเองก็จะอยู่ในสภาวะราตรีชั่วกาลนานตลอดทั้งเกม) เมื่อเราเดินย่ำเท้าออกไปจากตัวปากอ่าว เราก็จะได้เจอกับชายคนหนึ่งที่ถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในมือ เมื่อเสียงของมันได้ดังขึ้น ที่ปลายสายของก็คือเสียงลึกลับของสตรีนางหนึ่งที่เริ่มแนะนำให้เราเข้าใจส่วนที่สำคัญที่สุดของ “การดูดเลือด

โดยกลไกที่ว่านี้ก็จะมีความคล้ายคลึงกับ Bloodlines ภาคต้นฉบับ ซึ่งจะมีจุด sweet-spot ระหว่างการที่เราจะได้เลือดมาอย่างเหมาะสม หรือจะเป็นการฆ่าตัวเหยื่อโดยไม่ได้ตั้งใจ พร้อมกับสูญเสียซึ่งความเป็นมนุษย์ไปในกระบวนการนี้ และในระหว่างที่เรากำลังได้เผชิญหน้ากับตัวละครหนึ่งนั้น เช่นเดียวกับ Bloodlines ภาคแรก เกมจะมีการพากย์เสียงให้กับตัวละครทั้งหมด ซึ่งทาง Hardsuit Labs และ Paradox นั้นยังไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรในส่วนนี้มากนัก แต่ทางคุณ Mitsoda ได้บอกว่าการพากย์เสียงใน Bloodlines 2 นั้น “บางทีมันอาจจะยอดเยี่ยมกว่าเกมใดๆ” เลยทีเดียว

ในตัวอาคารที่อยู่ในอ่าวนั้น ตัวละครของผีดูดเลือดของเราจะถูกโจมตีโดยกลุ่มโจร เมื่อพูดถึงระบบการต่อสู้ระยะประชิดนั้น มันเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งของเกม Bloodlines ภาคแรกเป็นอย่างมาก และทาง Hardsuit Labs ก็ได้รู้ถึงปัญหานี้และมันก็จะได้รับการปรับปรุงเป็นอย่างมากใน Bloodlines 2 “Ka’ ai ได้เริ่มทำในส่วนของระบบการต่อสู้ระยะประชิดในมุมมองบุคคลที่หนึ่งมาร่วมปีแล้ว” คุณ Russ Nelson, CTO และผู้ร่วมก่อตั้ง Hardsuit Labs เล่า “เรารู้ว่าเรามันจำเป็นที่จะต้องเข้าไปใกล้ชิดมันให้มากขึ้นและให้ความรู้สึกว่าเป็นตัวเองในระหว่างการต่อสู้”

ไม่เหมือนเกม Bloodlines ในภาคแรก ระบบการต่อสู้ในเกมทั้งระยะประชิดและระยะไกลนั้นจะใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่งทั้งหมด และมันก็เป็นระบบที่ดูมีวิสัยทัศน์มากที่ทำให้เราสามารถใช้ได้ทั้งหมัด และสิ่งของที่อยู่ตามสภาพแวดล้อมพร้อมด้วยพลังที่ได้มาในการเอาชนะศัตรู ตัวอย่างเช่น thin-blood สามารถที่จะดึงเอาอาวุธปืนออกมาจากมือของศัตรูได้โดยใช้พลังจิต หรือบินขึ้นไปบนอากาศเพื่อทิ้งตัวลงมาหาคู่ต่อสู้ และนอกจากนี้ผู้เล่นยังสามารถติดตั้งอาวุธทั้งระยะประชิดและระยะไกลได้ทั้งสองมือในเวลาใดก็ได้ แต่คุณ Schwarzer ก็ได้บอกอีกว่า “การติดตั้งอาวุธของของคุณจะเป็นอย่างไรนั้น ในตอนท้ายของการต่อสู้มันจะมีความค่อนข้างที่จะแตกต่างไปจากเดิมมากทีเดียว

bloodlines 2 fight

อย่างไรก็ดีในการเข้าถึงระบบการต่อสู้นั้นทาง Hardsuit Labs ก็ได้พยายามที่จะทำให้เรามั่นใจว่าเราจะสามารถสื่อสารการใช้พละกำลัง, ความรวดเร็ว และความยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี แม้แต่การเป็น thin-blood นั้นคุณก็จะสามารถฉีกกระชากเหล่าชาวแก๊งติดอาวุธได้ไม่ยากด้วยหมัดลุ่นๆ อย่างเดียวก็ทำก็ได้

และยิ่งเลเวลสูงเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งมาพร้อมกับท่วงท่าการทำลายล้างพิเศษที่มากขึ้น ซึ่งจะทำให้มุมกล้องนั้นซูมออกกลายเป็นมุมมองบุคคลที่สามารถ ซึ่งศัตรูในเกมนั้นจะไม่ได้มีเพียงมนุษย์เท่านั้น แต่มันยังมีศัตรูอีกมากมายที่อึดถึกทนมากกว่าใน Bloodlines 2 รวมไปถึงเหล่าผีดูดเหลืออีกหลายสายพันธุ์อีกด้วย

หลังจากการต่อสู้เสร็จสิ้นเราก็จะได้พบกับชายคนหนึ่งที่กลายเป็น thin-blood จากเหตุการณ์ Mass Embrace แต่ก่อนที่เราจะได้ทันรู้ถึงเรื่องราวต่างๆ เขาก็ได้ถูกฆ่าโดยผีดูดเลือดอีกตนหนึ่งจากด้านหลังก่อนที่เขาจะมาบอกกับเราว่า “เจ้าไม่ได้อยู่ในรายชื่อของข้า” ก่อนที่จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หนึ่งใน side-quest ของเกม Bloodlines 2 จะไปเกี่ยวข้องกับการออกตามหาเหล่าผีดูดเลือดที่เกิดมาจากเหตุการณ์ Mass Embrace ที่รู้จักกันในนามของ “Unsanctioned Seven”

คุณ Schlütter ได้เน้นว่าเควสของเกมนั้นจะเป็นการพาเราไปสำรวจ “ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ว่าเหล่ามนุษย์ผู้สมบูรณ์ทั้งหมดนั้นต้องการอะไร และมีความจำเป็นอย่างไรและมีสถานการณ์ในชีวิตอย่างไร เมื่อกลายเป็นผีดูดเลือด” หลังจากเหตุการณ์ที่อ่าวเสร็จสิ้น เราก็จะสามารถเดินทางไปยังเซฟเฮาส์แห่งแรกของเราได้ มันเป็นอพาร์ตเมนต์ที่เปิดให้เช่าโดย Dale ผีดูดเลือดผู้รักสันโดษที่จะเป็นไกด์ให้เราในโลกเกมของ Bloodlines 2 คล้ายกับ Smiling Jack ในเกมภาคต้นฉบับ และเขาก็ยังเป็นตัวละครตัวแรกที่เราจะสนทนาได้ด้วยนานเท่าไหร่ก็ได้ และมันก็เป็นสิ่งที่แฟนๆ เกมต่างคาดหวัง บทสนทนาในเกมนั้นจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากใน Bloodlines และด้วยทักษะและความสามารถของตัวละครก็จะส่งผลต่อตัวเลือกในการสนทนาด้วย โดยที่คุณ Mitsoda นั้นยังได้พยายามอย่างมากในการคงไว้ซึ่งความเป็นนัวร์ และอารมณ์ขันอันมืดเฉกเช่นเดียวกับ Bloodlines ภาคแรก

bloodines 2 coversation

“มันสนุกเหลือเชื่อเลยล่ะในการเขียนเกมๆ นี้ ตัวละครบางตัวเป็นตัวละครโปรดที่สุดเท่าที่ผมเคยเอามันมาใส่ในเกม และ Paradox ก็ให้อิสระกับผมมากๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้ใช้มันในมุมมองผู้ผลิตนะ มันเหมือนประมาณว่า “คุณอยากทำอะไรล่ะ?” คุณ Mitsoda ไม่ได้ชี้ชัดไปว่ามันจะเป็นอย่างไร แต่ทาง Paradox ยืนยันว่ามันจะมีเหล่าตัวละครคุ้นเคยจาก Bloodlines ภาคแรกมาปรากฏตัวแน่นอน

หลังจากที่แนะนำพื้นฐานต่างๆ ของเกมแล้ว Dale ก็ได้พาเราเข้าไปยังตัวอพาร์ตเมนต์ซึ่งในนั้นจะมีบอร์ดหมุดปักที่เต็มไปด้วยบันทึกและเอกสารต่างๆ มากมายที่ถูกรวบรวมโดยเหล่าผีดูดเลือดผู้ด้อยประสบการณ์ เราได้เห็นการฆาตกรรมและเราก็จะต้องพยายามค้นหาเงื่อนงำที่จะนำไปสู่ตัวผู้รับผิดชอบในการกลายสภาพของเขา ซึ่งในการออกแบบเควสในเกม Bloodlines 2 นั้นมันจะอิงกับเกมต้นฉบับมากกว่าเกม RPG สมัยใหม่ และมันก็จะมีไม่เหล่า NPC ที่มีเครื่องหมายอัศเจรีย์ปักอยู่บนหัว ซึ่งเรื่องราวต่างๆ นั้น ผู้เล่นจะต้องออกสำรวจและเปิดเผยมันเรื่องราวใหม่ๆ ของการผจญภัยด้วยตัวเอง

ในเอกสารเหล่านั้นจะมีตัวอย่างเช่น โปสเตอร์ของแมวที่หายไป ซึ่งเมื่อคุณออกสำรวจไปยังเมืองซีแอตเทิล คุณจะได้พบว่ามันมีโปสเตอร์แมวที่หายไปเป็นจำนวนมากในพื้นที่หนึ่ง และถ้าคุณใช้เวลาในการสำรวจปรากฏการณ์นี้คุณก็จะได้พบกับแมวทั้งหมดที่หายตัวไป และสาเหตุที่ทำไมพวกมันถึงหายตัว

ในขณะที่บางเส้นเรื่องของเควสนั้นมันอาจจะมีโอกาสที่จะได้เจอ ขึ้นอยู่กับวิธีในการเล่นของคุณใน Bloodlines 2 ไม่เหมือนกับเกมในภาคแรก เกมในภาคนี้จะมีฝั่งฝ่ายหลายฝั่งที่อยู่รายรอบ Camarilla ซึ่งเราสามารถเลือกที่จะทำงานให้กับพวกเขาได้ “คุณจะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างขึ้นอยู่กับว่าคุณทำงานให้กับใคร และคุณอาจจะมีเหตุขัดใจ และคุณอาจจะไปดูถูกฝั่งฝ่ายอื่นๆ จนถึงจุดที่พวกเขาไม่อยากที่จะทำงานร่วมกับคุณอีกก็ได้” เขากล่าว “คุณสามารถทำอะไรได้เท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับค่าชื่อเสียงภายในเกม” คุณ Mitsoda อธิบาย

bloodlines 2 power

ส่วนสำคัญของชื่อเสียงก็คือ “จารีต Masquerade” ที่ได้รับการคาดหวังว่ามันจะเป็นสิ่งที่ติดตัวเหล่าผีดูดเลือดทุกตน และด้วยคำว่า “คาดหวัง” นั้นก็หมายความว่าเราสามารถละเมิดจารีต Masquerade ได้ทั้งในเชิงเล็กน้อยเช่นการถูกมนุษย์พบเห็นขณะดูดเลือด หรือไม่เชิงที่ใหญ่โตมากๆ ก็อย่างเช่นการบ้าคลั่งในที่สาธารณะ ทั้งสองอย่างจะนำพามาซึ่งผลกระทบของทั้งตัวคุณและตัวเมือง ผู้คนจะออกมายามค่ำคืนน้อยลง ซึ่งนั่นหมายความว่ามันจะมีเหยื่อให้คุณดูดเหลือได้น้อยลงตาม ในขณะที่การอาละวาดบ่อยครั้งก็อาจจะทำให้เจ้าชาย Cross ที่เป็นหัวหน้าของเมืองซีแอตเทิลส่งกองกำลังเหนือธรรมชาติมาตามล่าตัวคุณนั่นเอง

คุณ Schlütter ยังได้สาธิตในตอนจบของเดโมซึ่งจะเป็นการพาเราไปยังเมือง hub อีกหลายเมืองในเกมเช่น Pioneer Square (ซึ่ง Bloodlines 2 นั้นเดินตามรอยการออกแบบเมือง hub ต่างๆ มาจากเกมในภาคต้นฉบับ) เขาได้ทิ้งตัวลงมาจากหลังคาและเริ่มทำการดูดเลือดประชาชนในที่สาธารณะ และมันก็ทำให้ตำรวจออกตามล่าตัวเขาซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นการทำการละเมิดจารีต Masquerade นั่นเอง

สิ่งที่สำคัญมากๆ ก็คือมันไม่ได้มีหนทางการละเมิดจารีตไปจนสู่ความสับสนวุ่นวายเพียงทางเดียว คุณสามารถกอบกู้ Masquerade ของคุณกลับมาได้ในหลากหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือการเข้าร่วมหน่วยกวาดล้างของเจ้าชาย Cross ซึ่งจะเป็นผู้ที่คอยทำความสะอาดความเละเทะที่เหล่าผีดูดเลือดผู้ละเมิดจารีต Masquerade ได้ทำไว้นั่นเอง

bloodlines 2 punch

ทีมกวาดล้างนั้นเป็นตัวอย่างที่ของความแปลกประหลาดที่ทางคุณ Mitsoda และทีมงาน Hardsuit Labs ได้นำมาจากเกม Bloodlines ภาคแรก มันเป็นองค์กรที่ถูกขับเคลื่อนโดยชายที่ชื่อ Bart ผู้ซึ่งได้เห็นทุกความสยดสยองเท่าที่จะจินตนาการได้มาแล้วจนหมดสิ้นแล้ว และทำให้เข้าด้านชากับสิ่งเหล่านั้นโดยสมบูรณ์ โดยในช่วงต้นของเควสนั้นเราจะได้เข้าไปเคลียร์ความสะอาดความเละเทะหลังจากเหตุการณ์อันสุดแสนโรแมนติกระหว่างมนุษย์และผีดูเลือด “ถ้ามีใครระเบิดในห้องเล็กๆ ของโรงแรมละก็ มันเป็นอะไรทำนองนั่นแหละครับ” คุณ Schlütter “คุณจะได้หยิบชิ้นส่วน ชิ้นส่วนจริงๆ และ Bart ก็จะเริ่มบ่นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในที่แห่งนั้นพร้อมกับซดซุปในบะหมี่ของเขาได้ด้วย”

ทีมงาน Hardsuit Labs ต้องการให้เราออกสำรวจตัวเกม Bloodlines อย่างธรรมชาติ มันเป็นที่ช่วยเพิ่มพูนความพิเศษในการออกค้นพบเควสต่างๆ และวิธีการในการแก้ไขมัน ในช่วงแรกของเกมนั้น พื้นเพปูมหลังที่เราเลือกตัวละครจะส่งผลต่อประสบการณ์ในการเล่นเป็นอย่างมาก เช่นหากเราเลือกที่จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมากก่อน คุณก็อาจจะเลือกกลับไปยังสถานีตำรวจได้ทันทีโดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องหาทางเข้าจากด้านหลังหรือหาทางแอบย่องเข้าไป แต่มันก็จะมีความซับซ้อนลงไปอีกขั้น “เพื่อนร่วมงานของคุณจะมาหาและถามคุณว่า ‘เฮ้ย นายหายไปไหนมาสองอาทิตย์?’ สถานะความปลอดภัยทางสังคมของคุณได้ปกป้องคุณไว้ แต่นั่นหมายความว่าคุณจะต้องกลับไปทำงานเหมือนเดิม” คุณ Schlütter กล่าว

ทั้งหมดนี้ฟังดูเหมือนเป็นความทะเยอทะยานเป็นอย่างมากในการสร้างเกมๆ นี้ มันมาพร้อมกับระบบและแนวคิดที่ยากจะอธิบายในหลายๆ ส่วน และยังเข้าถึงได้ไม่ทั้งหมด คุณ Schwarzer ได้บอกว่าทีมงาน Hardsuit Labs “ได้เริ่มที่จะทำให้ความสามารถ active ต่างๆ ของระบบพัฒนาตัวละครถูกปลดล็อกแล้ว” ในขณะที่ผู้พัฒนาเองก็ได้ชี้ให้เห็นว่ามันยังต้องมีตัวเลือกของการปรับแต่งอีกมาก เพื่อที่จะให้เราสวมบทบาทเป็นผีดูดเลือดได้อย่างที่เราต้องการ นอกจากนี้มันยังมีในส่วนของระบบ Resonate อีกด้วย โดย NPC แต่ละตัวนั้นจะมีรสชาติของเลือดที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาวะอารมณ์ในขณะนั้นๆ เช่นหากเราดูดเลือดคุณที่เหยื่อกำลังโกรธ มันก็จะให้ความสามารถในการเพิ่มพูนกำลังหายในชั่วขณะ และการดูดเลือดเหยื่อที่กำลังโกรธบ่อยๆ มันก็จะนำพามาซึ่งความสามารถโบนัสที่ติดตัวผู้เล่นได้อีกด้วย

ด้วยความทะเยอทะยานทั้งหลายเหล่านี้มันก็มาพร้อมกับความกังขาว่ามันจะเดินตามรอยเท้าของ Bloodlines ภาคต้นฉบับหรือไม่ แต่กุญแจหลักสำคัญที่เราต้องไม่ลืมก็คือเกม Bloodlines ภาคแรกนั้นมันการผลผลิตจากการทดลองเทคโนโลยีใหม่ที่ไกลเกินตัว ณ ขณะนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางทีมพัฒนาเพิ่งได้สัมผัสมันเป็นครั้งแรก แต่ทีมงาน Hardsuit Labs นั้นมีประสบการณ์มากเหลือแล้วกับการทำงานร่วมกับ Unreal Engine 4 และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือทุกคนในทีมงานต่างล้วนตระหนักถึงความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นกับ Bloodlines ภาคแรกโดยตลอดเวลา “การทำการบ่งชี้ว่าอะไรที่ทำงานได้ดีและอะไรทำงานได้ไม่ดีในเกมภาคแรก และยังรวมไปถึงการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นแน่นอนว่ามันเป็นกุญแจสำคัญของการสร้างเกมในครั้งนี้” คุณ Kipling ยืนยัน

นอกจากนี้การมาของ Bloodlines 2 ยังเป็นตัวแทนของสิ่งที่ทาง Paradox ไม่เคยทำมาก่อน มันเป็นการนำเอาเกมคัลท์คลาสสิคอันเป็นขุมสมบัติของเครื่อง PC กลับมาสร้างและยังเป็นการลงทุนในการสร้างครั้งใหญ่เหนือกว่ามาตรฐานที่บริษัทเคยทำมาก่อน Ebba Ljungerud, CEO ของ Paradox ได้กล่าวสรุปไว้ว่า Bloodlines 2 นั้นเป็นความสำคัญอย่างยิ่งยวดของบริษัทเลยทีเดียว “มันมีความรักที่มากล้นในเกม Bloodlines ภาคแรก และมันก็เป็นไปด้วยความตื่นเต้นที่มากเหลือในการที่เราจะได้มาทำบางสิ่งบางอย่างบนโลกใบนี้” เธอกล่าว “แต่มันก็เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เพราะนอกไปจากนี้มันก็ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้วค่ะ”

Vampire: The Masquerade – Bloodlines 2 จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2020 ทั้งบน PC, Xbox One และ

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

Every detail from our first look at Vampire: The Masquerade—Bloodlines 2

Share this article
0
Share
0 Share
0 Tweet
0 Share
0 Share
Shareable URL
0
Share