Ubisoft ยืนยันผ่านแถลงผลประกอบการประจำครึ่งปีงบประมาณแรกของปี 2021 ออกมาว่าเกม Assassin’s Creed Valhalla ที่ออกวางจำหน่ายไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้กลายเป็นเกมที่ทำกำไรให้กับทาง Ubisoft ได้มากเป็นอันดับสองอย่างเป็นทางการแล้ว
สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาทาง Ubisoft มียอดขายสุทธิรวมลดลงเล็กน้อยเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นโดยมีตัวเลขอยู่ที่ 877 ล้านดอลลาร์ และในไตรมาสที่ 2 เองก็มียอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 21 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวมาอยู่ที่ตัวเลข 466 ล้านดอลลาร์
โดยทาง เฟเดอริก ดูเกต์ (Frédérick Duguet) ประธานฝ่ายการเงินของ Ubisoft ได้แถลงว่าพวกเขาพึงพอใจกับตัวเลขในไตรมาสที่ผ่านมาเป็นอย่างมากที่ทำได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยให้เครดิตเกม Assassin’s Creed Valhalla ที่ยังทำผลกำไรให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับรายได้รวมสุทธิทางบัญชีของทาง Ubisoft ลดลง 5 เปอร์เซ็นต์แบบปีต่อปีมาอยู่ที่ 838 ล้านดอลลาร์ และลดลง 5 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน แต่ในไตรมาสที่สองพวกเขามีรายได้สุทธิทางบัญชีที่เพิ่มขึ้น 13.8 เปอร์เซ็นต์แบบปีต่อปีมาอยู่ที่ 458 ล้านดอลลาร์ แต่กำไรรวมสุทธิของบริษัทก็ตกลงมาอยู่ที่ 1.87 ล้านดอลลาร์จากปีก่อนทีทำได้ 22.1 ล้านดอลลาร์
ซึ่งทาง Ubisoft ยังคงยืนยันกำหนดวางจำหน่ายของเกมในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณเอาไว้ตามเดิมไม่ว่าจะเป็นเกม Just Dace 2022, Rider Republic, Monopoly Madness และ Far Cry 3 Blood Dragon Remastered โดยทางประธาน อีฟส์ กีลโมต์ (Yves Guillemot) ประธานของ Ubisoft ยังคงยืนยันที่จะลงทุนเพิ่มเติมให้กับแฟรนไชส์ขนาดใหญ่ให้เข้าถึงผู้เล่นได้มากยิ่งขึ้นแม้ว่าในสภาวะปัจจุบันของอุตสาหกรรมจะส่งผลกระทบกับการพัฒนาเกมเป็นอย่างมาก รวมไปถึงการปรับตัวของผู้เล่น
สำหรับโครงการเกม Assassin’s Creed Infinity ที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาในตอนนี้ทาง อีฟส์ กีลโมต์ ยืนยันว่ามันจะไม่เป็นเกม free-to-play ตามที่คาดการณ์กันอย่างแน่นอน ซึ่งตัวเกมจะมีองค์ประกอบในการเล่าเรื่องและเป็นเกมที่มีนวัตกรรมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาอีกด้วย แต่มันจะยังคงเป็นเกม Assassin’s Creed ในแบบที่ผู้เล่นเคยได้สัมผัสที่จะมาพร้อมกับองค์ประกอบที่ผู้เล่นหลงรักอยู่เหมือนเดิม
โดยทาง Ubisoft ได้ประมาณการเอาไว้ว่าในไตรมาสที่ 3 พวกเขาจะมีรายได้สุทธิอยู่ที่ราว 847 ล้านดอลลาร์ถึง 911 ล้านดอลลาร์ลดลง 22 ถึง 28 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบแบบปีต่อปี
