Ubisoft เปิดเผยผลประกอบการณ์ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณออกมาอย่างเป็นทางการ โดยพวกเขาทำยอดขายรวมลดลง 14 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 415 ล้านเหรียญ และรายได้ทางบัญชีสุทธิที่ลดลงถึง 21 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 384 ล้านเหรียญ
ซึ่งรายได้รวมของบริษัทได้ลดลงกว่าที่ทาง Ubisoft ได้มีการประมาณการเอาไว้ และทำให้ตัวเลขของไตรมาสแรกในปีนี้แตกต่างจากปีที่แล้วเป็นอย่างมากด้วยการที่ในปีที่แล้วผู้คนได้กลับมาซื้อเกมเพิ่มมากขึ้นจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ว่าพวกเขาจะมีเกมออกวางจำหน่ายไม่กี่เกมก็ตาม ซึ่งก็มีเพียงแค่เกม Monopoly ที่ลงให้กับ Google Stadia และอัปเดตใหม่ของเกม Rainbow Six: Siege และ For Honor เท่านั้น
ในขณะที่ไตรมาสแรกของปีนี้เต็มไปด้วยเกมที่ดูมีชื่อมากมายไม่ว่าจะเป็นเกม Uno: 50th Anniversary และอัปเดตใหม่ของเกมอย่าง Assassin’s Creed Valhalla, Watch Dogs: Legion, Immortals Fenyx Rising, Rainbow Six: Siege, Anno 1800, For Honor, และ The Division 2
โดยทาง Ubisoft ก็ได้ออกมาประมาณการตัวเลขในไตรมาสที่สองแล้วว่าพวกเขาจะสามารถทำรายได้ทางบัญชีสุทธิได้ราว 400 ล้านเหรียญซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ด้วยมีเกมที่จะเป็นปัจจัยหลักก็คือเกม Rabbids Adventure Party ที่จะเปิดให้บริการในประเทศจีน และ Rocksmith+ ที่จะเปิดให้บริการบน PC
ซึ่งทาง Ubisoft ยังได้คาดการณ์อีกด้วยว่าตัวเลขในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณ รายได้ของบริษัทก็น่าจะยังลดลงเช่นเดิม และในส่วนของการเติบโตโดยรวมก็อาจจะขึ้นมาเป็นเปอร์เซ็นต์เพียงหลักเดียวเท่านั้นในปีนี้ ซึ่งสาเหตุก็น่าจะเป็นเพราะเกมอย่าง Tom Clancy’s Rainbow Six Extraction เลื่อนการวางจำหน่ายไปเป็นเดือนมกราคม 2022 และ Rider Republic เองก็เลื่อนการวางจำหน่ายออกไปวันที่ 28 ตุลาคมแทน
อย่างไรก็ดีทาง อีฟส์ กีลโมต์ (Yves Guillemot) ผู้บริหารสูงสุดของทาง Ubisoft ก็ได้ออกมายืนยันว่าทางบริษัทจะยังคงเดินหน้ากลยุทธ์ในการผลักดันการสร้างคอนเทนต์พรีเมียมระดับ AAA เช่นเดิม พร้อมกับเตรียมที่รุกตลาดเกม free-to-play เพื่อสร้างฐานผู้เล่นให้มากขึ้น โดยจะแบบสัดส่วนการลงทุนสร้างคอนเทนต์ในอนาคตออกเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นการสร้างเกมในระดับพรีเมียม และอีก 20 เปอร์เซ็นต์จะเป็นการลงทุนในการสร้างเกม free-to-play นั่นเอง