Sony ได้มีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งในงานประชุมครั้งนี้ทางจิม ไรอัน (Jim Ryan) ประธานของ Sony Interactive Entertainment ก็ได้ออกมาแถลงข้อมูลและวิสัยทัศน์ในระยะยาวของบริษัทที่น่าสนใจมาให้เราได้ทราบกันอย่างมากมายว่าทิศทางของ PlayStation จะเติบโตไปอย่างไรในหลังจากนี้
เริ่มกันด้วยการแถลงช่องทางการทำกำไรของบริษัทที่ยังมี PlayStation 5 ที่เป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดของทางค่าย โดยมี PlayStation 4 ที่เป็นแพลตฟอร์มที่มีอายุยืนที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งทาง Sony Interactive Entertainment มีการเติบโตอย่างมาก นับตั้งแต่การวางจำหน่ายเครื่อง PlayStation 4 เข้าสู่ตลาดและทำให้บริษัทมีกำไรมาเป็นปีที่ 8 ติดต่อกันแล้ว
ซึ่งตัวเครื่องเกม PlayStation 5 ได้กลายเป็นเครื่องเกมคอนโซลที่ได้รับความสนใจมากขึ้นกว่า PlayStation 4 เป็นอย่างมาก และสามารถทำยอดขายได้ 80,000 เครื่องในทุกๆ 82 นาที มากกว่า PlayStation 4 ที่เคยทำยอดขาย 80,000 เครื่องได้ในทุกๆ 9 วัน ซึ่งการวางจำหน่ายเครื่องเกมในประเทศจีนได้ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับทาง Sony ได้เป็นอย่างมาก และทำให้ในตอนนี้แบรนด์ PlayStation ได้ขึ้นเป็นแบรนด์ระดับโลกลำดับที่ 7 ไปแล้วโดยเป็นรองแค่ Apple, Peloton, Spotify, Bose, Android, และ Instant Pot เท่านั้น
ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ก็มาจากเกมต่างๆ ของทางค่ายที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทั้ง Marvel’s Spider-Man: Miles Morales, Rachet & Clank: Rift Apart, Returnal, Horizon Forbiddent West, Gran Turismo 7 และ MLB The Show 22 รวมไปถึงเกมจากค่าย Third Party ทั้ง Deathloop, Grand Theft Auto V, Genshin Impact, NBA 2K, FIFA และ Ghostwire Tokyo และนอกจากก็ยังมีเกมที่กำลังจะออกวางจำหน่ายทั้ง God of War Ragnarok, Marvel’s Spider-Man 2, Marvel’s Wolverine, Hogwarts Legacy, Forspoken, Avatar Frontiers of Pandora และ Final Fantasy XVI ที่จะออกมาให้ได้เล่นกันอีกด้วย
สำหรับปัญหาทางด้านการขาดแคลนของตัวเครื่อง PlayStation 5 ในอนาคตทาง Sony ได้เปิดเผยกราฟที่แสดงให้เห็นว่าทาง Sony ได้ส่งเครื่อง PlayStation 5 ออกวางจำหน่ายแซง PlayStation 4 ในช่วงเวลาเดียวกันไปแล้วตั้งแต่ปีแรกของการวางจำหน่าย แต่ในช่วงปีที่ผ่านมายอดการส่งออกไปวางจำน่ายยังคงเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่เท่ากับที่ PlayStation 4 เคยทำได้ และคาดว่าจะมาอยู่ในอัตราเดียวกันได้ในปีที่ 4 ของการวางจำหน่าย ซึ่งทาง Sony ก็ยังคงกังวัลความเสี่ยงเกี่ยวกับผลกระทบจากโควิด-19 ที่อาจทำให้โรงงานผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ไม่สามารถดำเนินกิจการได้ และสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่อาจจะส่งผลต่อภาคการขนส่งที่อาจจะส่งผลต่อการกระจายสินค้าเช่นกัน
ซึ่งในตอนนี้ทาง Sony ก็กำลังเร่งดำเนินการในการหาผู้ผลิตชิ้นส่วนรายอื่นๆ เพิ่มเติมแล้วเพื่อลดความเสี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอนในตอนนี้ และยังได้มีการเจรจาเพื่อหาเส้นทางการส่งสินค้าเพิ่มเติมเพื่อที่ทำให้สามารถคงสภาพการส่งออก PlayStation 5 ไปวางจำหนายให้ได้ตามที่คาดการณ์ไว้
สำหรับในส่วนของการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลทาง Sony ก็ได้ชี้ให้เห็นว่ายอดขายเกมแบบฟิสิคัลได้ลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และด้วยการมาของโควิด-19 ก็ทำให้ในปีงบประมาณล่าสุดมันกินส่วนแบ่งไปเพียงแค่ 20% เท่านั้น แต่ก็ยังมี PlayStation 4 ที่ยังคงกินส่วนแบ่งรายได้จากยอดขายดิจิทัลอยู่ที่ 65% และรายได้จากเกมเล่นฟรีก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากถึง 25% ในปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลมาจากเกมทั้ง Fortnite, Genshin Impact, Call of Duty Warzone, Apex Legends และ Rocket League และในส่วนของผู้ใช้งานบริการ PlayStation Plus ก็ยังคงมีการต่ออายุการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างคงที่ โดยผู้ใช้งานกว่า 72% ก็ยังคงพึงพอใจในการใช้งานอยู่เหมือนเดิมโดยมีเหตุผลหลักในการสมัครบริการคือการเล่นเกมออนไลน์ และรับเกมแจกฟรีประจำเดือนเป็นหลัก
โดยในส่วนของปัจจัยหลักในการเติบโตต่อจากนี้ของ PlayStation ก็ประกอบไปด้วยบริการ PlayStation Plus และ PlayStation Now ที่จะมีการแบ่งระดับการใช้งานมาเพิ่มเติมซึ่งประกอบไปด้วยระดับ Essential ที่จะเหมือนกับ PlayStation Plus แบบดั้งเดิม ระดับ Extra ที่จะมาพร้อมกับเกมในคลังกว่า 400 เกมและเกมสำหรับ PlayStation 4 และ PlayStation 5 ในวันแรกของการวางจำหน่าย และในระดับ Premium ที่จะมาพร้อมกับ PlayStation Now, การทดลองเล่นก่อนซื้อ และเกมเก่าที่จะมีการเพิ่มเติมมาในคลังเรื่อยๆ โดยทาง Sony คาดหวังว่ามันจะสามารถเพิ่มยอดผู้ใช้งานได้ถึง 50 ล้านรายในปีหน้า
เช่นเดียวกับร้านค้า PlayStation Direct ที่จะมีการขยายตลาดมากขึ้นภายในช่วงต้นปี 2023 ที่จะมีการไปเปิดร้านค้าในไอบีเรีย อิตาลี ออสเตรีย และสเปน ซึ่งในปีนี้ทาง Sony คาดว่าจะสามารถทำรายได้จากร้านค้า PlayStation Direct ได้มากกว่าเดิมถึงสามเท่าเฉพาะในอเมริกาและยุโรป โดยคาดว่าในเฉพาะอเมริกาจะสามารถทำรายได้ราว 1.13 พันล้านเหรียญ
PlayStation VR 2 ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ทาง Sony จะเติบโตขึ้นซึ่งทาง Sony ยืนยันว่าจะมีเกมกว่า 20 เกมมาให้ได้เล่นกันในวันแรกที่ตัวเครื่องออกวางจำหน่าย ซึ่งคาดว่าจะสามารถวางจำหน่ายได้ในช่วงปลายปีนี้ แต่ด้วยปัญหาด้านชิ้นส่วนขาดแคลนก็อาจจะทำให้มันอาจจะออกวางจำหน่ายได้ในปีหน้า
สำหรับด้านการซื้อกิจการและการร่วมมือกับบริษัทต่างๆ ทาง Sony ได้มีการเปิดเผยให้เห็นว่าพวกเขาได้ลงทุนในส่วนนี้เป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาทั้งการซื้อกิจการ Housemarque, Nixxes Software, Firesprite Games, Bluepoint Games, Valkyrie Entertainment, Haven Studios และ Bungie เข้ามาอยู่ในสังกัด และยังได้ร่วมลงทุนในกิจการอย่าง Discord, Devolver Digital Games และ AccelByte อีกด้วย
โดยการซื้อกิจการทาง Bungie เข้ามาก็เพื่อมาช่วยสนับสนุนการพัฒนาเกม live service ของทางค่าย ซึ่งในตอนนี้ทางบริษัทก็อยู่ในระหว่างการควบรวมกิจการอยู่ ซึ่งทาง Bungie และ PlayStation จะมีการถ่ายทอดด้านเทคโนโลยีและวิธีการทำงานต่างๆ ในช่วง 6-12 เดือนหลังจากนี้ ก่อนที่จะเริ่มเดินหน้าในการพัฒนาโครงการเกม live service อย่างจริงจังในปีหน้า
ซึ่งหลังจากนี้ทาง PlayStation จะมีการลงทุนใน IP ใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ และจะมีส่วนแบ่งการลงทุน IP ใหม่และเก่าอยู่ที่ 50% เท่ากันภายในปีงบประมาณ 2025 ซึ่งทาง Sony ก็จะมีการขยายการรับรู้ของแฟรนไชส์ในมือมากไปกว่าเกมด้วย ทั้งในส่วนของการสร้างภาพยนตร์ สินค้าต่างๆ และทีวีซีรีส์ ซึ่งในตอนนี้ก็มีโปรเจกต์ต่างๆ มากมายที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการทั้ง Twisted Metal ฉบับซีรีส์คนแสดง, The Last of US ของ HBO, ภาพยนตร์ Ghost of Tsushima และล่าสุดก็มีการประกาศว่า Horizon Zero Dawn, Gran Turismo และ God of War ก็จะได้รับการดัดแปลงเป็นเวอร์ชันคนแสดงเช่นกันด้วย
สำหรับการเติบโตของเกม live service ทาง Sony ก็คาดการณ์เอาไว้ว่ามันจะสามารถกินส่วนแบ่งรายได้ได้มากกว่าเกมในรูปแบบเดิม โดยในปี 2025 ทาง Sony คาดว่าเกม live service จะสามารถกินส่วนแบ่งได้ 55% แต่ในตอนนี้พวกเขายังคงมีเพียงแค่เกม MLB The Show 22 เพียงเกมเดียวเท่านั้น ซึ่งทาง Sony ตั้งเป้าที่จะเปิดบริการเกม live service ให้ได้ถึง 12 เกมในปีงบประมาณ 2025
และอีกหนึ่งปัจจัยที่จะมาช่วยให้ PlayStation เข้าถึงกลุ่มคนได้มากยิ่งขึ้นก็คือการวางจำหน่ายเกมให้กับแพลตฟอร์ม PC นั่นเองซึ่งก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และทำรายได้เป็นที่น่าพอใจทุกเกมไม่ว่าจะเป็น Horizon Zero Dawn ที่ยอดขายได้ 2,398,000 ยูนิตและทำรายได้ไปกว่า 60 ล้านเหรียญ ตามมาด้วย Days Gone ที่ทำยอดขายได้ 852,000 ยูนิตและทำรายได้ไปกว่า 22.7 ล้านเหรียญ และ God of War ที่ทำยอดขายได้ 971,000 ยูนิตทำรายได้ไปกว่า 26.2 ล้านเหรียญ โดยในปีงบประมาณนี้ทาง Sony ได้ตั้งเป้าว่าจะสามารถทำรายได้จากตลาดเกม PC อยู่ที่ราว 300 ล้านเหรียญเลยทีเดียว
และในส่วนของตลาดเกมมือถือทาง Sony ก็จะมีการนำ IP ของพวกเขาไปร่วมพัฒนากับผู้เชี่ยวชาญในระดับโลก และจะมีการก่อตั้งสตูดิโอภายในเพื่อมาดูแลในส่วนนี้เพิ่มเติมด้วย
