แม้จะใช้ชื่อว่าภาค 2 แต่อันที่จริงแล้วเนื้อหาของ Red Dead Redemption 2 คือปฐมบทของเหตุการณ์ในภาคแรกที่ได้นำไปสู่เรื่องราวของการแก้แค้น และความขัดแย้งทางศีลธรรม ที่ตั้งอยู่บนโลกชายขอบอันไร้พรมแดนในประวัติศาสตร์โลกตะวันตกของอเมริกา ที่ได้ทำให้ Red Dead Redemption กลายเป็นหนึ่งในเกมอันทรงคุณค่า และเป็นที่จดจำ ผลงานของทีมงาน Rockstar Games ผู้สร้างซีรีส์มหาโจร Grand Theft Auto สื่อบันเทิงที่เป็นมากกว่าเกม ที่ได้รับรายได้สูงสุดตลอดกาล
แต่ในภาคที่ 2 ของ Red Dead Redemption อะไรที่ทำให้ทางทีมงานเลือกที่ย้อนกลับไปยังอดีตของเหล่าแก๊ง Van der Linde อันเป็นใจความสำคัญของความขัดแย้งในเกมภาคแรก Josh Bass ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ และ Aaron Garbut ผู้กำกับศิลป์ของ Red Dead Redemption 2 ก็จะมาอธิบายให้เราได้รู้กัน
Red Dead Redemption 2 เป็นเหตุการณ์ก่อนเหตุการณ์ในภาคแรกถึง 12 ปี และ Dutch Van der Linde ตัวละครร้ายจากภาคแรกก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ทางทีมงานที่ Rockstar San Diego ตัดสินใจที่ย้อนเรื่องราวของเกมกลับไปยังในยุคสมัยที่ Dutch Van der Linde ยังอยู่ในยุคแห่งความเรืองรองของเขาใน และอะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้แก๊ง Van der Linde ล่มสลาย จนกลายเป็นเหตุการณ์ดังเช่นคนที่เคยเล่นเกมภาคแรกน่าจะได้สัมผัส
“เราต้องการที่จะรู้เรื่องราวของเหล่าและเหล่าแก๊งให้มากขึ้น อะไรที่คอยขับเคลื่อนแก๊ง? อะไรที่คอที่นำพาไปสู่เหตุการณ์ในเกมภาคต้นฉบับ? และอะไรที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาระหว่างนั้น?” คุณ Josh Bass ได้ให้สัมภาษณ์กับทางเว็บไซต์ The Hollywood Reporter ถึงการตัดสินใจในครั้งนี้ของทีมงาน
เชิ่อว่าแฟนๆ ของเกมภาคต้นฉบับก็น่าจะจดจำ Dutch Van der Linde กันได้เป็นอย่างดี เขาคือผู้นำของแก๊งโฉดชื่อกระฉ่อน ตัวร้ายตัวเอ้ของเรื่อง กับเรื่องราวของเขาที่ได้นำไปสู่วันสุดท้ายของพรมแดนตะวัน และใน Red Dead Redemption 2 แน่นอนว่าตัวละครหลักของเกมในภาคแรกอย่าง John Marston เองก็จะได้กลับมาในช่วงเวลาวัยหนุ่มของเขา ที่ยังคงเป็นหนึ่งในสมาชิกของแก๊ง Van der Linde ที่ทำให้เราได้ย้อนกลับไปยังเรื่องราวในสมัยก่อน และเป็นการนำพาไปสู่เหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เขาต้องออกตามล่าฆ่าเหล่าสมาชิกแก๊ง และรวมไปถึงตัวของ Dutch Van der Linde อันเป็นเหตุการณ์ในเกมภาคก่อน
“ใน Red Dead Redemption 2 นั้นคุณจะได้เจอกับเหล่าสมาชิกของแก๊ง และแน่นอนว่ามันรวมถึง Marston ด้วย ในช่วงที่ชื่อเสียงของพวกเขาดังกระฉ่อน ก่อนที่ทุกๆ อย่างจะเริ่มพังทลายลง”
“เรื่องราวในภาคนี้จะเป็นการเน้นไปที่ตัวละครอย่าง Arthur Morgan (ตัวละครเอกที่ผู้เล่นจะได้เล่น) หนึ่งในสมาชิกหัวหมู่ทะลวงฟันที่ Dutch ไว้ใจมากที่สุด เขาถูก Dutch ชักนำและเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเด็ก และ Arthur เองก็เปรียบแก๊งเป็นดั่งครอบครัว Dutch ได้มอบชีวิตให้กับเขา และทำให้ชีวิตของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย ซึ่งเหล่าสมาชิกของแก๊งก็ปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี และมั่นคงเรื่อยมา”
จุดศูนย์กลางของเรื่องราวในเกมภาคต้นฉบับ เป็นเรื่องราวการผจญภัยของ Marston ในการออกตามล่าเหล่าอดีตสมาชิกของแก๊งและหยุดยั้ง Dutch จากความพยายามครั้งใหม่ของเขา ในขณะที่เรื่องราวในภาคใหม่นี้ จะเป็นการย้อนกลับไปยังวันวาน เหตุการณ์ในช่วงที่แก๊ง Van der Linde ยังคงออกปฏิบัติการ แต่มันก็อาจเรียกไม่ได้ว่าเป็นยุคสมัยที่พวกเขายังคงเรืองรองเสียเพียงทีเดียว ซึ่งคุณ Josh Bass ได้อธิบายไว้ว่า
“หลายสิ่งหลายอย่างกำลังเปลี่ยนไป และมันก็ไม่มีที่ว่างพอสำหรับเหล่าสมาชิกแก๊งในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคสังคมสมัยใหม่ เมื่อมองผ่านมุมมองของ Arthur คุณก็จะได้เห็นเหตุการณ์ที่ทำให้เหล่าแก๊งถูกตั้งค่าหัว และถูกบีบบังคับให้ต้องหลบหนีลี้ภัยข้ามอเมริกา และในช่วงเวลานั้น Dutch เองก็ต้องคอยโอบอุ้มเหล่าสมาชิกแก๊ง ที่เริ่มจะไม่ลงรอยกันไปในคราเดียว”
“เราต้องการที่จะจับภาพวิถีชีวิตของอเมริกาตะวันตกในช่วงปี 1899 ที่เป็นการเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าประเทศเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม และเป็นหนึ่งในเวทีที่ทั่วทั้งโลกต่างกำลังจับตามอง และเราก็จะทำเท่าที่เราสามารถทำได้ในการที่ทำให้มันกลายเป็นการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกสมัยใหม่” คุณ Aaron Garbut เสริม
“มันคือภูมิประเทศที่โหดร้าย และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันต่ำตมสกปรกโสมม แต่มันก็คงเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยโอกาส และมันก็เป็นสถานที่ที่น่าประทับใจ ในการให้มุมมองของการสร้างโลกที่มีขอบเขตและสเกล ที่สามารถให้ได้ทั้งประสบการณ์ และเรื่องราวของตัวละครในการเดินทางท่องไปยังมุมหนึ่งถึงอีกมุมหนึ่งของโลกกับเรื่องราว การเดินทางของเหล่าแก๊งและเรื่องราวของเกม ที่ได้ให้วิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่มากในการสร้างพื้นที่ให้กับ ทุกๆ แง่มุม ของจุดเปลี่ยนผ่านศตวรรษของอเมริกาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย และมีความเป็นรูปธรรม”
และเชื่อว่าทุกคนเองก็น่าจะรู้ดีกว่างานถนัดของทีมงาน Rockstar นั้นคือการสร้างโลกของเกมขนาดใหญ่ที่พร้อมจะให้ผู้เล่นอินไปกับตัวเกม “โลกของเกม” คือสิ่งที่ทีมงานได้ตั้งใจเป็นอย่างมากในการสร้าง Red Dead Redemption 2 ให้สามารถสะท้อนภาพของช่วงเวลาในยุคนั้นได้ออกมาอย่างลึกซึ้ง และเต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ผู้เล่นสามารถปฏิสัมพันธ์กับมันได้
“เราต้องการที่จะสร้างโลกที่มีทั้งความกว้างขวางและทั้งความลึกในคราเดียวกัน”
คุณ Aaron Garbut ยังได้อธิบายถึงแนวคิดในการสร้างโลกของ Red Dead Redemption 2 อีกด้วยว่า
“สิ่งที่เราพยายามอย่างเสมอมา คือการสร้างโลกของเกมเช่นเดียวกับการสร้างเกมทั้งเกม และเราก็ได้ใช้เทคโนโลยีล่าสุดแล้วในการผลักดันไอเดียต่างๆ ให้ขับเคลื่อนไปได้ในทิศทางที่เราไม่เคยได้ทำมาก่อน”
ไม่เพียงระบบฟิสิกส์ที่อยู่รอบตัวผู้เล่นเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลกของเกมด้วย “มันมีความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน คนอ่อนแอกับคนแข็งแกร่ง และมีความแตกต่างระหว่างความศิวิไลซ์และความป่าเถื่อน เท่าที่เราสามารถตระหนักได้”
ณ เวลานี้ Grand Theft Auto V ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสื่อที่ทำรายรับสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว และ Red Dead Redemption 2 จะก้าวผ่านความสำเร็จที่พวกเขาได้สร้างกันไว้ได้อย่างไร แน่ละจากเท่าที่เรารู้มันคือเกมที่ใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ และมีโลกของเกมที่ให้ความรู้สึกสมจริงที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่การที่มันจะก้าวผ่านความสำเร็จของ Grand Theft Auto V ไปได้นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายแม้กับทาง Rockstar เองก็ตาม
“Grand Theft Auto V ได้ตั้งหมุดหมายอันสูงใหญ่ไว้ทั้งกับเรา และกับบริษัท หรือแม้แต่ตัวของ PlayStation 4 เองหรือเวอร์ชันของ Xbox One เองก็ตาม สำหรับเกมที่สร้างด้วยการใช้แนวคิดของเกมที่ใช้เทคโนโลยีจากเครื่องเกมในยุค PS3” คุณ Josh Bass อธิบาย
“Red Dead Redemption 2 คือเกมแรกเราที่สร้างบนฮาร์ดแวร์สำหรับเครื่องเกมในยุคล่าสุด และมันก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับทีมงานของเรา ในการที่จะอัปเกรดทุกสิ่งอย่างในทุกๆ แง่มุมของการออกแบบเกมไปในคราวเดียวกัน ตั้งแต่กราฟิก ปัญญาประดิษฐ์ ไปจนถึงระบบสภาพอากาศ เสียงและดนตรีประกอบ การแสดงผลทางด้านใบหน้า และแอนิเมชันในส่วนของลำตัว และยังมีอะไรอีกมากมายที่มากกว่านั้น เราได้ใช้พลังในการสร้างสรรค์โลกของเกมที่ไปไกลยิ่งกว่าที่ทุกๆ อย่างที่เราเคยทำมาทั้งความลึก การปฏิสัมพันธ์และความแน่วแน่”
นอกจากนี้คุณ Aaron Garbut ยังได้เสริมอีกด้วยว่า “มันคือสัมผัสของการมีชีวิตในแบบฉบับเกมที่เป็นส่วนสำคัญที่ถูกแยกออกไป เมื่อคุณเดินทางเข้าไปยังตัวเมืองในครั้งแรกคุณก็จะได้เห็นผู้คนในเมืองที่กำลังประกอบกิจการของพวกเขาอยู่ กำลังสร้างบ้าน กำลังขายสื่อสิ่งพิมพ์ หรือกำลังออกไปพักผ่อนกับเพื่อนฝูง มันจะทำให้คุณจะรู้สึกได้ทันทีเลยว่า เราไม่เคยได้รับประสบการณ์เหล่านี้มาก่อนในเกม Open World”
“คุณพบเจอกระท่อมไม้ใกล้เนินเขา และคุณก็จะรู้ได้ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจรอคุณอยู่ คุณอาจจะแอบลักลอบเข้าไปจนเจอกับปริศนาที่น่าฉงน หรืออาจจะไปพบเจอเจ้าบ้านจนจบลงด้วยความยุ่งเหยิงก็เป็นได้ ผมคิดว่าคุณอาจจะบอกได้ว่ามันคืออาณาเขตใหม่ที่ไม่เคยย่างกราย ในจุดที่คุณไม่แน่ใจว่ากำลังทำภารกิจของเกมอยู่หรือเปล่า ในเมื่อทั้งหมดทั้งปวงมันเป็นระบบที่เป็นส่วนหนึ่งในโลกของเกมที่ถูกผูกรวมเข้ากับบทของเนื้อหาที่เราได้เขียนเอาและเตรียมเอาไว้อย่างถูกที่ถูกทาง ซึ่งมันน่าอัศจรรย์มากๆ”
“การสร้างให้ผู้เล่นลืมไปว่าพวกเขากำลังเล่นเกม และการทิ้งไว้ซึ่งความทรงจำที่เข้ามาแทน นั่นคือวิธีการที่โดยส่วนตัวแล้วเราต้องการที่จะทิ้งไว้กับโปรเจกต์นี้ และ ณ ตอนนี้พวกเราก็ใกล้ที่จะสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ผมใช้เวลาหลายปีกับชีวิตบนโลกเรื่อยผ่านไปในทุกๆ วัน และผมก็จะคิดถึงมัน แต่มันก็ยังคงไว้ซึ่งความทรงจำในที่ๆผมเคยอยู่ มันมหัศจรรย์จริงๆ”
และนี่ก็คือแก่นแท้และเรื่องราวของ Red Dead Redemption 2 ที่อาจจะทำให้เพื่อนๆได้อรรถรสในการเล่นเกมกันมากขึ้น กับหนึ่งในเกมที่อาจเป็นการพลิกวงการของการพัฒนาเกมไปอีกก้าว ในการสร้างโลกของเกมที่มีเรื่องราวที่ผูกผสานเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว จนเราไม่เอาสัมผัสได้เลยว่ามันเป็นเกมหรือเป็นโลกจำลอง