ข้อมูลเบื้องต้น
- ผู้พัฒนา: Rockstar Games
- ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย: Take-Two Interactive
- แนวเกม: Action-adventure
- รูปแบบการเล่น: มีทั้งโหมดเล่นเดี่ยว และโหมดเล่นหลายคนแบบออนไลน์
- เครื่องเกมที่วางจำหน่าย: PlayStation 4 และ Xbox One
“ในทุกๆ เกมของ Rockstar เราพยายามอย่างมากในการสร้างทุกสิ่งอย่างในเกมให้มีชีวิตชีวา และมีรายละเอียดที่มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ไปพร้อมกับการขับเคลื่อนไอเดียต่างๆ ว่าอะไรควรใส่เข้าไปในเกม และมันจะให้ความรู้สึกอย่างไรยามเมื่อได้เล่น” – Rob Nelson หัวหน้าของทีมงาน Rockstar North
Red Dead Redemption 2 อาจเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์อีกครั้ง ของวิถีการทำงานของทีมงาน Rockstar Games ในแต่ละเกมที่พวกเขาล้วนสร้างสรรค์ มันไม่ใช่เพียงแค่การปรับปรุงจากพื้นฐานเดิมของเกมภาคเก่า แต่มันยังเป็นก้าวอย่างใหม่ของนวัตกรรมที่วงการอุตสาหกรรมเกมล้วนต้องจับตามอง และต้องหลีกทางให้เมื่อเกมของพวกเขาออกวางจำหน่าย ไล่เรียงมาตั้งแต่การนำเสนอโลก Open World ที่ให้อิสระจนล้ำหน้าเกมในยุคนั้นอย่าง Grand Theft Auto III มาจนถึงขีดจำกัดอันสูงสุดของเครื่องเกมในเจเนอเรชันที่ 7 กับ Grand Theft Auto V มันก็ทำให้ตัวผู้เขียนคาดหวัง กับการหวนคืนมาอีกครั้งของ Red Dead Redemption 2 ภาคต่อที่ห่างหายไปนานถึง 8 ปี ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมในการสร้างโลกของเกมที่สมจริง อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมา
กลิ่นอายของจุดเริ่มต้น
เชื่อว่าหากใครที่เคยมีโอกาสได้สัมผัส Red Dead Redmption มันก็คงเป็นหนึ่งในเกมที่สร้างความประทับใจได้ไม่รู้ลืม ไม่ว่าจะในแง่ของเนื้อหา และเรื่องราวการผจญภัยของ John Marston บนโลกอเมริกันตะวันตกในยุคแดนเถื่อน ที่กฎหมายบ้านเมืองยังคงตัดสินกันด้วยกระสุนปืน และมันก็ยังได้นำเสนอทิวทัศน์ และโลก Open World ของเกมที่สวยงาม จากทุ่งหญ้าในขอบเขตชายแดนของ New Austin มาจนถึงแสงอาทิตย์อัสดงที่ทอดผ่านบ้านเมืองที่ถูกปั้นขึ้นด้วยอิฐแดงใน Mexico มันล้วนเป็นหนึ่งในความทรงจำ ที่ใครต่างที่ได้เล่นก็คงไม่มีทางลืม
และใน Red Dead Redemption 2 ทีมงาน Rockstar ก็ได้กลับมาสานต่อความทรงจำเหล่านั้นของแฟนๆ เกมอีกครั้ง และมันก็ยังคงมีกลิ่นอายในแบบ Rockstar กับการเปิดฉากด้วยการออกปล้นของเหล่าแก๊ง Van der Linde ในแถบพ้นที่ชนบทที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่หนาทึบ และมันก็ใช้เวลาไม่นานที่ทำให้เหล่าผู้ทดสอบตัวเกมได้ตระหนักว่า 5 ปีที่หายไป หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจกับ Grand Theft Auto V ของทีมงาน Rockstar ที่กลับมาอีกครั้งด้วยเทคโนโลยีขีดสุดของฮาร์ดแวร์ในปัจจุบันนั้น ไม่ได้เป็นอะไรที่สูญเปล่า
“Red Dead Redemption 2 คือโอกาสอันดีสำหรับเราในการยกเครื่องระบบอันเก่าคร่ำครึในเกมของเราทั้งหมด และด้วยประสบการที่เราได้รับจากการสร้าง GTA V ในเวอร์ชันของเครื่องเกมเจเนอเรชันใหม่ มันก็ช่วยให้เราได้รู้ว่าเราควรจะปรับปรุงในส่วนไหน และอะไรที่เป็นไปได้บ้างด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ นี้”
Rob Nelson หัวเรือใหญ่ของทีมพัฒนา Rockstar North ได้ให้สัมภาษณ์ถึงก้าวใหม่ของทีมงานกับทางนิตยสาร Official PlayStation Magazine ฉบับล่าสุด ที่ทำให้เราได้รู้ว่าการมาของ Red Dead Redemption 2 มันไม่ใช่เพียงแค่การสร้างโลกของเกมที่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่มันยังเป็นเกมที่เต็มไปด้วยรายละเอียดไม่ต่างไปจาก เกมที่ไม่ใช่เกม Open World เลยทีเดียว
Red Dead Redemption 2 เปิดฉากด้วยการสอนระบบของตัวเกมแบบเดียวกันกับ Grand Theft Auto V กับภารกิจในการออกปล้นของเหล่าแก๊ง Van der Linde ในแถบชนบทที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ที่เป็นการแย้มให้เห็นถึงกราฟิกของเกมที่ได้รับการอัปเกรดมาอย่างเต็มขั้น และยังให้ความรู้แปลกใหม่อย่างที่เราไม่เคยได้สัมผัส
ผู้เล่นในฐานะ Arthur Morgan หนึ่งชาวแก๊ง Van der Linde พร้อมด้วยพลพรรคนับโหลที่ประกอบไปด้วยเหล่าผู้นอกกฎหมายเดนตาย ทั้งเสือปืนไวมือฉมัง, ผู้อาวุโส, ชายหนุ่มร่างกำยำ ไปจนถึงสาวงามประจำแก๊ง พวกเขาเหล่านี้จะเป็นผู้มอบภารกิจให้กับ Arthur ในอนาคต และยังเป็นเพื่อนร่วมทาง และครอบครัวอันทรงคุณค่าของ Morgan หลังจากฉากเปิดของการปล้น ที่จบลงด้วยความสิ้นหวังและพายุที่โหมกระหน่ำทั้งภายนอกและภายใน จนเหล่าแก๊งจึงจำใจต้องหาแหล่งพักพิงชั่วคราว ผู้คนร่วมเดินทางเริ่มล้มหายตายจาก และเต็มไปด้วยเสียงคร่ำครวญโหยหา เสียงของ Dutch Van der Linde ผู้นำกลุ่ม ก็ดังขึ้นพร้อมกับบอกเหล่าชาวแก๊งที่เหลือว่า “เข้มแข็งเข้าไว้”
“อยู่กับข้า เรายังไม่จบกันแค่นี้”
เกมเปิดฉากมาด้วยความสิ้นไร้ไม้ตอกของเหล่าแก๊ง Van der Linde ในการออกค้นหาอาหาร และแหล่งที่พักพิง แต่เหล่าแก๊งก็ยังคงต้องการความโก้เก๋ เครื่องแต่งกายของผู้เล่นจำเป็นที่จะต้องเหมาะสมกับสภาพอากาศ แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยสไตล์ให้เลือกสรร โดยเฉพาะหมวกปีกของคาวบอย ที่หลังจากการดวลปืนเราสามารถนำหมวกเหล่าศัตรูคู่อาฆาตมาสวมใส่ได้ ที่เมื่อกลับมายังแคมป์มันก็จะเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ศูนย์กลางคือ Arthur Morgan
Arthur Morgan คือจุดศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมดในเกมภาคนี้ เขามีความแตกต่างไปจาก John Marston ตัวเอกในเกม Red Dead Redemption แม้เพียงครั้งแรกที่ได้เห็นเราก็สามารถสัมผัสได้ เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา แม้จะหุนหันพลันแล่นไปบ้าง แต่หัวใจของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยหลักการ และเหตุผลอันเป็นที่ตั้ง แม้เขาจะอยู่ตรงข้ามกับขั้วกฎหมายมาทั้งชีวิตในฐานะสมาชิกของแก๊ง Van der Linde ในสมัยยังเป็นเด็ก เขาเองก็ทำเรื่องเลวร้ายมาไม่น้อย และสมญานามตำนานเสือปืนไวของเขาก็กลายเป็นที่โจษจัน แต่สำหรับเขาเรื่องเหล่านี้มันก็ไร้ราคาค่างวด สิ่งที่เขาทำมาโดยตลอดก็มีเพียงแค่ “ยิงคนที่ที่สมควรตายจากด้านหลัง” เพราะเขาเองก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า
“เรื่องราวนอกเหนือจากนั้นมันก็เหลวไหลทั้งเพ”
เขาเป็นตัวละครที่หลายคนน่าจะชื่นชอบได้ไม่ยาก แต่หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะขึ้นอยู่กับผู้ด้วยระบบ “Honour System” ของเกม ที่เป็นหนึ่งในกลไกที่คอยขับเคลื่อนเรื่องราวของ Red Dead Redemption 2 และมันก็จะไม่เหมือนกับเกมอื่นๆ ด้วยทุกการตัดสินใจของผู้เล่นเองที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์อื่นๆ ที่ตามมา มันมีทั้งความสม่ำเสมอ และเต็มไปด้วยปริศนาที่มาพร้อมกับความเฉดสีเทาที่ไม่มีผิดหรือถูกที่ชัดเจน เว้นเสียแต่กระบอกปืนที่ถือไว้มันจะเป็นตัวตัดสิน และไม่ว่าจะเป็น NPC หรือสัตว์ต่างๆ ผู้เล่นก็ล้วนสร้างปฏิสัมพันธ์ได้ทั้งหมด ด้วยโฟกัสไปที่เป้าหมาย เกมก็จะแพนกล้องตาม พร้อมด้วยเมนูและบริบทต่างๆ ให้เราได้เลือกปฏิสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ ปล้น หรือกล่าวทักทาย และแม้แต่สุนัขข้างทาง เราก็ยังสามารถทำได้ทั้งการ ส่งเสียงเรียก ลูบหัวหรือแม้กระทั่งเล่นกับมัน
ทางทีมงาน Rockstar ได้บอกว่าสิ่งที่เราทำทั้งหมด เมื่อเวลาผ่านไปมันจะส่งผลกระทบต่อตัวของ Morgan แม้กระทั่งยามเมื่อเขาถูกพบเจอ ไปจนถึงการปฏิบัติต่อตัวเขาในทุกสถานที่ที่เขาเดินทางไป เช่นหากชื่อเสียงทางด้านความเป็นคนมุทะลุของเขาโด่งดัง การปล้นของเขามันก็มักจะตามมาด้วยสิ่งของต่างที่มีมูลค่ามากกว่าเดิม และมันก็ยังจะส่งผลถึงบรรยากาศของตัวเกมอีกด้วย ไม่ว่าจะทั้งเสียงเพลงประกอบไปจนถึงมุมกล้องที่เกมนำเสนอ มันจะสะท้อนให้ผู้เล่นได้เห็นภาพว่า หากเราเลือกที่จะเป็นพวกโฉดชั่วและไร้เกียรติ ผลลัพธ์ที่ตามมามันจะออกมาเป็นอย่างไร
แม้การตัดสินใจหลายๆ อย่างในเกมจะเหมือนมีเพียงแค่สองตัวเลือก แต่มันก็ยังมีที่ว่างสำหรับความแตกต่างระหว่างตัวเลือกเหล่านั้น ในช่วงสุดท้ายของบทนำ มันก็เป็นการเปิดม่านและนำไปสู่เรื่องราวของเกมที่จะตามมา Morgan ได้ถูกทิ้งเอาไว้บนรถไฟพร้อมกับคนงานรถไฟที่เหลืออยู่เพียง 3 คนและเกมก็เปิดโอกาสให้เราสามารถตัดสินใจอย่างไรก็ได้ แต่นี่คือรถไฟของ Leviticus Cornwell ชายผู้มั่งคั่งที่สุดคนหนึ่งบนผืนแผ่นดินอเมริกา ดังนั้นผลลัพธ์ของการตัดสินใจ อาจมาพร้อมกับราคาค่างวดที่แพงกว่าที่คาดคิด
“ระบบ Honour คือส่วนสำคัญของเกม มากพอๆ กับเกมก่อนหน้า” คุณ Joshua Bass หนึ่งในทีมงานได้อธิบาย “แต่มันก็มีความผนวกรวมเข้ากับโลกของเกมได้อย่างแยบคายมากขึ้น มันไม่เสมอไปว่า อะไรคือสิ่งที่มีเกียรติ และมันก็ไม่ได้นำไปเส้นทางของเรื่องราวที่แตกแขนงออกไปเพียงแค่เส้นเรื่องที่เป็นปลายปิดหรือปลายเปิดเท่านั้น และเมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะให้ความรู้สึกของประสบการณ์โดยรวมแก่ผู้เล่น”
“ยิ่งผู้เล่นๆ Arthur ให้ตัวละครมีความมืดหม่นมากเท่าไหร่ มันก็ทำให้ในแต่ละห้วงขณะหนึ่งไปจนถึงอีกห้วงขณะของเกมการเล่น มีความแตกต่าง หากเขายังเป็นตัวละครนอกกฎหมายที่ยังเต็มไปด้วยเกียรติ สะท้อนให้เห็นด้วยการทับซ้อนกันของทุกสิ่งอย่างในเกม ไม่ว่าจะทั้งมุมกล้องไปจนถึงภาษากาย และเช่นเดียวกับ ปฏิกิริยาที่เขาจะได้รับจากตัวละครตัวอื่นๆ ไปจนถึงจุดสิ้นสุดของตัวเกมที่ผลรวมของสิ่งเหล่านั้นจะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น และผู้เล่นก็จะตระหนักได้ว่ามันให้ประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป เมื่อเทียบกับผู้เล่นคนอื่นๆ เพราะมันมีตัวเลือกนับร้อยที่พวกเขาได้เลือกผ่านเกมการเล่น”
และดูเหมือนผลรวมของตัวเลือกนั้นก็จะใช้เวลาไม่นานมากนัก ที่จะส่งผลกลับมาให้เราในฐานะผู้เล่นได้ประจักษ์ จากอ้างของ Nathan Brown ผู้เขียนบทความในนิตยสาร Edge Magazine ฉบับที่ 325 มันก็ใช้เวลาเพียง 6 ชั่วโมงในการเล่นเท่านั้น ก่อนที่เกมจะนำผู้เล่นเข้าสู่โลกใบใหม่ ที่ผู้เล่นเป็นผู้กำหนดด้วยตัวเอง
โลกใบเก่ากับมุมมองใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม
แม้ John Marston จะเป็นตัวเอกที่แฟนเกมจดจำของได้เป็นอย่างดีใน Red Dead Redemption ภาคแรก แต่ใน Red Dead Redemption 2 มันเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นเป็นเวลาเกือบทศวรรษ และยังคงเป็นยุคสมัยที่ Marston ยังเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกแก๊ง Van der Linde ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหลายจะกลับตาลปัตร จนนำไปสู่เรื่องราวการล้างแค้นและการไถ่บาปของเขาในเกมภาคต้นฉบับ และทีมงาน Rockstar ก็รู้ดีว่าพวกเขาควรจะนำเสนอเรื่องราวตรงส่วนนี้อย่างไร Marston ในภาคนี้จะไม่เหมือนกับ Marston ที่เรารู้จัก และเราก็จะได้พบเขาหลังจากเหตุการณ์ในตอนต้นของเกม
การเดินทางของ Arthur เหล่าชาวแก๊ง Van der Linde มาถึงจุดหมายปลายทางชั่วคราว บนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ตลอดทั้งการเดินทางเต็มไปด้วยรอยย่ำของเกือกม้าบนผืนหิมะ พร้อมกับสภาพอากาศที่เลวร้ายจนเข้าสู่จุดเยือกแข็ง แต่ก็เป็น Abigail แฟนสาวของ Marston ที่บอกว่าคนรักของเธอสูญหายไประหว่างทาง จนเป็นเหตุให้ผู้เล่นในฐานะ Arthur ต้องออกตามหาเขา ลึกลงยังเทือกเขาอันหนาวเหน็บ ที่แห่งนั้นเป็นเราจะได้เจอกับ Marston และเป็นการไขปริศนาที่เกมทิ้งเอาไว้ในภาคแรกให้เราได้คลายความสงสัย
“เราต้องการไปให้ไกลกว่าการนำเสนอทิวทัศน์ของทะเลทรายในแบบดั้งเดิมอย่างที่เราเคยนำเสนอในเกมภาคต้นฉบับ และเราก็ต้องการนำเสนอภาพตัดขวางที่กว้างขึ้นของอเมริกา” คุณ Josh Bass ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของเกมอธิบายไว้ในบทความของนิตยสาร Official PlayStation Magazine
“ยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมากเท่าไหร่ นั่นก็หมายถึงความเป็นไปได้ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลายที่มากขึ้น ซึ่งเราก็มองไปยังพื้นสภาพแวดล้อม ทั้งบ่อโคลนที่หนาเหนอะ ภูเขาที่ยิ่งใหญ่ ลึกลงไปอีกกับสภาพแวดล้อมที่หิมะปลิวไสว และมืดหม่นด้วยสภาพแวดล้อมของบึงที่หมอกปกคลุม เต็มไปด้วยต้นไม้ที่หนาแน่น ในขณะที่ท้องผืนหญ้าที่กว้างใหญ่เองก็ต้องมี Red Dead Redemption 2 ยังได้นำเสนอเมืองจริงๆ อีกด้วย มันมีทั้งท่าเรืออุตสาหกรรมที่ St. Denis ที่จะให้ความรู้สึกได้ถึงความแตกต่างไปจากเมืองท่า และเมืองอื่นๆ ในโลก”
หลังพายุพัดผ่านและหิมะเริ่มละลาย ในที่สุดเหล่าแก๊งก็ประสบความสำเร็จจากการปล้นรถไฟอีกครั้ง และพร้อมออกเดินทางต่อไปยังตะวันออก และที่นั่นก็คือพื้นราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ที่ชื่อว่า New Hanover
Open World อย่างแท้จริง
New Hanover คือพื้นที่แรกที่เกมนำเสนอให้เราได้สัมผัส และเป็นพื้นที่เปิดที่เริ่มอนุญาตให้เราสามารถเล่นได้อย่างอิสระ เกมทั้งเกมสามารถเล่นได้ด้วยมุมมองบุคคลที่หนึ่งผ่านสายตาโดยตรงของ Arthur Morgan มันคือผลสำเร็จของการทดลองที่ทาง Rockstar ได้เคยนำมาใช้ใน Grand Theft Auto V ที่ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้า ไปจนถึงการดวลเดือดด้วยปืนลูกโม่
มันเต็มไปด้วยมุมมองที่ทางทีมงานได้จัดเตรียมไว้เพื่อให้ผู้เล่นได้ดำดิ่งไปกับโลกของตัวเกม และพร้อมให้เลือกสรรตามความเหมาะสม และความชอบของผู้เล่นเพียงแค่คลิก Touchpad ของตัว Controller เท่านั้น เกมก็จะสลับตัดภาพมุมมองในแบบเดียวกับเกมแข่งรถ ที่เต็มไปด้วยตัวเลือกตั้งแต่ภาพมุมแคบไปจนถึงภาพกว้าง แม้กระทั่งการดำเนินเรื่องราวอยู่ไปจนถึงการเดินทาง ล้วนเต็มไปด้วยมุมมองที่เป็นดั่งการชมภาพยนตร์ชั้นดี
ที่แห่งนี้ Dutch Van der Linde ที่คอยประคับประคองความระหองแหงของชาวแก๊ง ก็มาถึงจุดที่เขาต้องตัดสินใจอีกครั้ง เขาให้อิสระกับชาวแก๊งทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ว่าจะไปต่อกับเขาหรือจะทำอะไรก็แล้วแต่ ราวกับว่าเขารู้ว่ากำลังอยู่ในโลก Open World ของวิดีโอเกม และเขาก็คาดหวังเพียงแค่การอุทิศให้กับชาวแก๊งเท่านั้น
ที่แห่งแคมป์แห่งนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างให้ผู้เล่นได้ทำ ผู้เล่นสามารถโกนหรือตกแต่งเคราของตัวเองได้ที่เต็นท์ หรือแม้แต่เปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายให้ตรงกับสภาพอากาศ ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ให้ผู้เล่นเลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นการเอาเสื้อใส่ในกางเกง การพับเขียนเสื้อ การเอาขากางเกงใส่ในรองเท้าบูตก็ล้วนแล้วแต่ทำได้ทิ้งสิ้น
ผู้เล่นสามารถนั่งล้อมรอบกองไฟและฟังเสียงพูดคุยของชาวแก๊งได้ และพวกเขาเหล่านั้นก็มาพร้อมกับเรื่องราวการผจญภัยต่างๆ ที่เขาเพิ่งได้พบเจอมา สมาชิกแก๊งทั้งหมดมีชีวิตในส่วนของพวกเขาเอง และมีการสนทนาที่แปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ เช่นหากเราชนะโป๊กเกอร์ตัวละครตัวหนึ่งบ่อยๆ แน่ล่ะว่าเขาก็คงไม่ค่อยต้อนรับเราอย่างอบอุ่นนัก และในทุกๆ ที่ของแคมป์ก็จะเต็มไปด้วยกล่องรับบริจาคทั้งเงินและเสบียงเพราะ
“ทุกๆ คนต้องคอยช่วยเหลือแก๊งทีละเล็กทีละน้อยเพื่อให้พวกเขาได้อยู่รอด”
คุณ Josh Bass ได้อธิบายเอาไว้ว่า “ไม่ว่าเราทำสิ่งเหล่านี้หรือไม่ ทั้งการบริจาคเงิน หรือของที่ได้ขโมยมา หรือแม้กระทั่งการช่วยเหลืองานจิปาถะรอบๆ แคมป์ Arthur ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีส่วนร่วมก็ได้ แต่พรรคพวกของชาวแก๊งก็จะยินดีหากเราเต็มใจให้ความช่วยเหลือ เราไม่ต้องการให้แก๊งเป็นเหมือนค่าสถิติที่ผู้เล่นจำเป็นต้องคอยบริหาร แต่เราอยากให้มันได้ถูกตระหนักถึงว่า แก๊งคือกลุ่มของผู้คนที่มารวมตัวกัน และแต่ละคนก็รู้ใส่รู้พุงกันเป็นอย่างดี มันมีทั้งเสียงซุบซิบนินทา การโต้เถียง และมีการแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ระหว่างกัน หาก Arthur ช่วยเหลืองานรอบๆ แคมป์ พวกเขาก็จะปฏิบัติกลับไปในทางบวก และแคมป์ก็เป็นสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยความสุข แต่หากไม่ ชาวแก๊งก็อาจวิจารณ์ติฉินถึงสภาพของแก๊งที่ทรุดโทรม และอาจโทษ Arthur ว่าไม่ช่วยแบ่งเบาภาระใดๆ เลย”
และเควสใน Red Dead Redemption ก็มาพร้อมกับรูปแบบใหม่ที่ใครก็ยากจะคาดคิด แน่นอนว่ามันไม่มีหน้าจอ Loading Screen มาให้เห็นอย่างกวนใจในขณะเล่น และมันก็เกิดขึ้นโดยแบบที่เราไม่ทันรู้ตัว ตัวอย่างที่ทางนิตยสาร Edge ได้ยกมาคือเมื่อตอนที่ทางทีมงานเดินเล่นเข้าไปในร้านเหล้าที่เขต Valentine กลางเมือง New Hanover ที่นั่นเราจะได้พบกับเพื่อนร่วมแก๊งที่กำลังเชิญชวนคุณมาร่วมก๊ง และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของภารกิจ หรือเควสของเกม ก่อนที่มันจะนำคุณไปสู่การออกตามล่าหมียักษ์ในตำนาน (จาก 200 สัตว์นานาพันธุ์ที่เกมมีให้ล่า) จากคำบอกเล่าของ Hosea Matthews ผู้อาวุโสของชาวแก๊ง
และการออกผจญก็ได้เริ่มต้นขึ้น และมันก็ไม่ได้ใช้เวลาประเดี๋ยวประด๋าว เพราะ Hosea Matthews ได้บอกกล่าวกับเหล่าชาวแก๊งที่แคมป์ก่อนออกเดินทางว่าพวกเราจะหายไปสัก 2-3 วัน และในการล่านี้เราก็จะได้ใช้ความสามารถในการล่าแบบเดียวกันกับ The Witcher Sense ในเกม The Witcher และหลังจากนั้นมันก็เต็มไปด้วยเรื่องราวที่พลิกผันพร้อมกับตัวเลือกที่ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้เล่นเอง
ความลึกและความละเอียดที่มากกว่า
การล่าเองก็เป็นอีกหนึ่งในระบบที่เกม Red Dead Redemption 2 หยิบยกมาจากเกมอื่นๆ แต่ก็น่าเหลือเชื่อที่พวกเขากลับทำได้ลึกยิ่งกว่าเกมไหนๆ และมันก็เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เวลานานในการสังเกต สัตว์แต่ละชนิดในเกมอาศัยอยู่ด้วยกฎของห่วงโซ่อาหาร และตามถิ่นฐานประจำของมัน บางตัวสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอย่างรวดเร็ว และมันก็ทำให้เราจำเป็นที่คำนึงถึงทิศทางของลมอยู่ตลอดเวลายามเมื่อออกล่า เราสามารถผิวปากเพื่อให้มันตกใจ และชะโงกหัวขึ้นมาเพื่อง้างยิงธนูได้โดยง่าย และบอกลามุมมองอันแสนเป็นมิตรที่หลีกเลี่ยงซึ่งความรุนแรงไปได้เลย เพราะเกมจะให้เราได้เห็นการแล่เนื้อหนังกันแบบสดๆ ก่อนที่จะนำขนของมันไปขายและนำเนื้อมาทำกิน และก่อนที่มันจะเน่าเปื่อยได้ด้วยกาลเวลา
ตัว Morgan เองก็ถูกขับเคลื่อนด้วยระบบเช่นกัน เขามีทั้งค่าพลังชีวิต (Health) และค่าความเหน็ดเหนื่อย (Stamina) ที่จะมีการฟื้นฟูอยู่ตลอดเวลา และมันก็จะปรากฏขึ้นในรูปแบบของวงล้อที่ในแต่ละวงล้อก็เป็นค่าพลังที่ผู้เล่นสามารถเพิ่มพูนได้ และการฟื้นฟูนั้นก็จะลดความเร็วลงเรื่อยเมื่อค่าพลังในแต่ละใจกลางนั้นลดลง มันเป็นสิ่งที่ได้รับการปรับปรุงมาจาก Grand Theft Auto V ให้มีความละเอียดและมีความสมเหตุสมผลมากขึ้น และเราก็สามารถกินอาหาร หรือพักผ่อนได้เพื่อเติมเต็มค่าพลังในส่วนนี้ Morgan จำต้องกิน จำต้องพักผ่อน และจำเป็นต้องแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลายของสภาพอากาศ ที่กระจายอยู่ทั่วโลกในเกม
อาชาคู่กายที่สำคัญยิ่งกว่า การเป็นพาหนะสำหรับเดินทาง
เช่นเดียวกับระบบม้าใน Zelda: Breath of the Wild มันก็เป็นอีกหนึ่งระบบที่ทีมงานได้หยิบยืมมา และเพิ่มเติมรายละเอียดเข้าไปให้ยิ่งกว่าเดิม เราสามารถที่จะฝึกฝนม้าได้ และทำให้มันไว้ใจก่อนที่จะควบมันออกไปในการเดินทาง และมันก็เหมือนเช่น Morgan ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยระบบต่างๆ มันมีความสามารถที่ซ่อนอยู่พร้อมให้ปลดล็อกหากเรามีความสัมพันธ์กับมันที่มากพอ
เราก็สามารถแวะเวียนไปยังคอกม้าตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนก็ค่าพลังเหล่านี้ให้กับมันได้ ไม่ว่าจะเป็นความเร่ง, ความเร็วสูงสุด รวมไปถึงการซื้ออานม้าและโกลน รวมไปถึงที่นอนให้มันอยู่ และมันก็ยังมีความเกรงกลัวตามประสาสัตว์ เพราะการเดินทางในเกมนั้นก็เต็มไปด้วยความซับซ้อนที่ยากจะผ่าน หากเราเจอกับหมีตัวเขื่องในระหว่างทาง มันก็อาจหวาดกลัวจนเราตกม้า เช่นเดียวกับงูและเหล่าสัตว์นักล่าชนิดอื่นๆ ที่เราจะต้องคอยประคบประหงมม้าของเราให้ดีอยู่ตลอดเวลาตลอดทั้งการเดินทาง
“เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของตัวเกม ทีมงานของเราใช้เวลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปกับการสร้างม้าในเกมนานนับปี” คุณ Aaron Garbut ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์อีกท่านหนึ่งของ Rockstar North อธิบาย และพวกเขาก็เป็นหนึ่งใน 8 สตูดิโอของ Rockstar ที่กระจายอยู่ทั่วโลกที่กำลังร่วมมือกันสร้างเกมๆ นี้
“คุณลักษณะของมันจะมาพร้อมกับลักษณะนิสัย และมันก็จะมีการตอบสนองต่อโลกที่มีความแตกต่างไปขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู และสายสัมพันธ์ระหว่างคุณ ม้าของผู้เล่นจะเหมือนกับสิ่งมีชีวิตจริงๆ ที่มาพร้อมกับจิตใจของมันเอง เราใช้เวลาไปมากกับการนำองค์ประกอบเหล่านี้ผูกติดเข้ากับโลกของเกม เพื่อที่ม้าจะได้รู้ว่ามันต้องการที่จะไปที่ไหน และอะไรที่มันควรจะหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกันกับตัวผู้เล่นเอง”
“และที่ยิ่งกว่านั้นคือเราต้องการให้ม้าเปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทาง ที่ผู้เล่นจะต้องคอยใส่ใจมัน และมันก็จะรู้สึกไม่พอใจหากมันบาดเจ็บ และมันก็ทำให้เราจะต้องคอยดูแลมัน และสร้างความสัมพันธ์กับมัน และกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้เล่นอยากจะทำ ไม่เพียงแค่เพื่อผลประโยชน์ในการใช้งานเท่านั้น แต่มันยังต้องเป็นเพื่อนที่ผู้เล่นไว้ใจ หากมันบาดเจ็บและกำลังตาย คุณก็จะมีเวลาอันจำกัดในการที่จะหายามารักษา และเวลาเหล่านี้ก็จะทำให้ผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์การผจญภัยขึ้นมาได้ ในจังหวะนั้นก็คงไม่มีอะไรที่สำคัญไปกว่าการช่วยเหลือม้าของคุณ คุณอาจจะปล่อยให้มันตายและหาตัวใหม่ก็ได้ แต่ถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่ทำล่ะ แต่คุณอยากที่จะทำอย่างนั้นก็ได้นะ”
นัยตามรณะและอาวุธคู่กาย
การต่อสู้ในระยะประชิดแม้จะมีความเรียบง่ายในช่วงแรกของการเล่น แต่มันก็จะทวีความซับซ้อนที่มากขึ้นยามเมื่อเล่นผ่านไปสักระยะ และระบบ Dead Eye อันเป็นจุดขายของเกมที่พัฒนาขึ้นจากเกมภาคแรกก็จะทำให้ผู้เล่นสามารถล็อกเป้าชิ้นส่วนอวัยวะอันเป็นจุดอ่อนขณะเล็งยิงได้แบบสโลว์โมชัน และมันก็จะมีการตัดภาพการตายของเหล่าตัวละครในแบบฉบับของภาพยนตร์ให้ผู้เล่นได้ชม ซึ่งแน่นอนว่ามันก็จะแปรเปลี่ยนไปตามที่ระบบ Honour ได้คำนวณเอาไว้ ซึ่งหากมันตัดสินว่าเราเป็นวายร้าย มันก็จะยิ่งทวีความรุนแรงให้เราได้เห็นมากขึ้น
ในภารกิจแรกของเกมมันก็คือฉากการปล้นรถไฟอย่างที่เราได้เคยกล่าวถึงไว้ และมันก็เป็นการปล้นที่อุกอาจที่เต็มไปด้วยเสียงปืนและกระสุนที่ปลิวว่อน ณ จุดนี้เกมได้นำเสนอรูปแบบของการต่อสู้ด้วยปืน Arthur สามารถถือปืนลูกโม่มือเดียวหรือจะถือสองมือก็ได้ มันมีทั้งปืนลูกซอง ปืนลูกโม่ และปืนยาวให้เลือกสรรตามความถนัด ที่เมื่อรวมทั้งหมดในเกมมันก็มีอาวุธปืนกว่า 50 ชนิด และยังมาพร้อมกับความสามารถในการปรับแต่งให้มีสไตล์ตามแบบฉบับของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ใช้ ลายสลัก รวมไปถึงสีสันของมัน และด้วยความสมจริงที่ทีมงาน Rockstar ใส่ใจ มันก็จำเป็นต้องมีการดูแลรักษา คอยขัดสนิมมันอย่างสม่ำเสมอ
“เราต้องการให้เกมๆนี้มีความกลมกลืนและมีความสมจริง ดังนั้นมันก็ดูจะเมกเซนส์ในการใส่ความสมจริงในเกม ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ โดยยังคงไว้ซึ่งความรู้สึกสนุกในเกมการเล่น”
วิธีคิดและการสร้างโลก
“เราทำงานด้วยกระบวนการเดิมเสมอในการออกแบบโลกของเกม”
“เราสร้างโลกจากไอเดียทั้งหมดของเราอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ และเราก็อยู่อาศัยในโลกนั้น เพื่อที่เราจะได้ลงลึกไปยังลำดับชั้น และรายละเอียดที่มากขึ้นกว่าเดิม พร้อมความหลากหลายที่มากขึ้น และจำนวนของพื้นที่ย่อยๆ ที่มากขึ้น เราสร้างเทือกของ และแม่น้ำลำธาร เราปรับปรุงและปรับแต่งมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราใช้เวลานานนับปีในการอาศัยอยู่ในโลกแห่งนั้น วันเดือนผ่านไปกับความต้องการที่จะทำให้มันดูดี และให้ความรู้สึกที่ดีขึ้น และก่อนที่ทุกอย่างจะคลี่คลาย เราก็มีทั้งลำดับชั้นความลึกทางด้านเนื้อหาของผู้คนการผจญภัย และภารกิจรวมไปถึงส่วนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจในเกม”
“สิ่งที่แตกต่างไปอย่างมากสำหรับการสร้างเกมๆ นี้คือการที่ผู้เล่นจะไม่จะไม่ไปเจอกับโอกาสในการทำเรื่องสนุกเท่านั้น แต่มันยังเป็นโลกที่จะเข้าหาผู้เล่นด้วยท่าทีละมุนละม่อม และชาญฉลาด งูกะปะจะทำให้ม้าของผู้เล่นหวาดกลัว และมันก็มีสัตว์ร้ายที่แอบซ่อนตัวอยู่ในป่า ห่างไปไม่ไกลคือแก๊งคู่อริที่กำลังตั้งแคมป์กันอยู่ และที่เห็นอยู่ไกลๆ ก็คือแสงไฟจากเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด มันจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นเสมอ และสิ่งเรานั้นก็จะเกิดขึ้นกับคุณยามเมื่อออกไปเดินทางท่องโลก ที่พร้อมให้รางวัลเป็นประสบการณ์ของตัวคุณเองที่รู้สึกได้ ทั้งความสมจริงและความแปลกใหม่”
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วยแผนที่ขนาดยักษ์ใหญ่ของเกม การเดินทางในแต่ละครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย และมันก็เป็นเกมของ Rockstar ที่มาพร้อมกับสิ่งเย้ายวนใจตามรายทางให้เราต้องหันเหไปจากทิศทางที่ได้ตั้งใจไว้ และมันก็ได้ผลิตการนำเสนอ ด้วยรูปแบบใหม่ในที่เราไม่เคยได้พบเจอมาก่อนบนโลกของวิดีโอเกมที่เต็มไปด้วยความหลากที่จนน่าเหลือเชื่อ
ตัวอย่างหนึ่งที่ทีมงาน Official PlayStation Magazine ได้ยกขึ้นมาคือ พวกเขาไปพบเจอกับคนบาดเจ็บอยู่ข้างทาง ซึ่งเราก็สามารถเข้าไปให้ความช่วยเหลือได้ ซึ่งบาดแผลนั้นเป็นบาดแผลจากการโดนงูกัด เราสามารถที่จะหยิบยื่นยารักษาให้กับเขาได้ หรือหากเราไม่มีเกมก็เปิดโอกาสให้เราดูดพิษด้วยปากเพื่อทำการช่วยเหลือ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทลต่อระบบ Honour ที่เกมใช้ตัดสินเรา
และเมื่อเราออกปล้นมันก็จะมีปฏิกิริยาที่ส่งผลกระทบกันอย่างแยบคาย เช่นตัวอย่างที่ทีมงาน Official PlayStation Magazine ได้เล่นพวกเขาพยายามที่จะปล้นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรายหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้เป็นการปล้นที่จบลงด้วยความสงบ เพราะผู้เคราะห์ร้ายเองก็มีปืน และเปิดฉากยิงใส่ทีมงาน จนจบลงด้วยการนองเลือด ระหว่างที่กำลังเก็บข้าวของและปล้นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรายนั้น รถม้าคันหนึ่งก็วิ่งผ่านมาถึงที่เกิดเหตุ ก่อนที่มันจะเร่งความเร็วเพื่อแจ้งข่าวเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อน มันก็ทำให้ทีมงานต้องขึ้นอานม้า ควบไปให้เร็วที่สุดเพื่อหยุดยั้งเหตุการณ์เลวร้ายที่จะตามมา พร้อมกับเสียงตะโกนและการยิงปืนขู่ขึ้นบนท้องฟ้า และด้วยโลกของเกมที่เต็มไปด้วยลำดับชั้นของความซับซ้อนมันก็จะแสดงให้เห็นถึงผลรวมของความต่างจากการกระทำต่างๆ ที่ผู้เล่นเคยเลือกมา
และสิ่งเหล่านี้คือเวทมนตร์ที่ทางทีมงาน Rockstar ได้สร้างสรรค์ด้วยเวลานานนับปี พวกเขาเดินทางมาไกล และทุกสิ่งอย่างก็เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ หลากหลาย และสวยงามมากกว่าทุกเกมๆ ที่พวกเขาเคยสร้าง
“Grand Theft Auto V ทำให้เราสามารถปีนไปยังยอดเขาและมองเห็นได้ว่าเมฆหมอกที่ปกคลุมพื้นผิวมันเป็นอย่างไร และทำเราสัมผัสได้ถึงสเกลอันแสนกว้างใหญ่” คุณ Aaron Garbut อธิบาย “แต่ด้วยระบบของ Red Dead Redemption 2 มันทำให้เราสามารถปีนขึ้นไปไปบนหุบเขา ผ่านเมฆหมอก และสายฝน ที่ซึ่งเมื่อเราขึ้นไปอยู่เหนือมัน ผู้เล่นก็จะได้เห็นสภาพอากาศอันเลวร้ายที่กำลังเคลื่อนตัวผ่าน สายฝนนี่ตกมาจากเมฆ และหมอกที่เริ่มขึ้นปกคลุมบริเวณโดยรอบ มันเกิดขึ้นเป็นพลวัต และมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”
“เราไปไกลว่าเกม Open-World ทั่วไป มันไม่ใช่การรวมเอาภารกิจเข้ามายัดใส่เข้าไปในโลกเกมใหญ่ๆ และเติมให้เต็มด้วยมินิเกมแบบที่เกม Open-World อื่นทำ มันมีความชาญฉลาดที่มากกว่านั้น และมันก็มีความเป็นจริงที่มากกว่า เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นเพียงแค่เกมที่ต้องเล่นให้จบ แต่มันคือสถานที่ที่คุณจะต้องลุ่มหลงไปกับมัน”
“เราคิดว่าเราเองก็มีสุนทรีย์ศาสตร์ทางด้านภาพยนตร์ ในยุคก่อนที่ความละเอียดระดับ HD จะมาถึง มันมีประโยชน์อย่างมากในการเปลี่ยนเทียบสิ่งต่างๆ ที่เราเคยทำเพื่อที่จะไปให้ถึงขอบเขตที่สูงขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราก็ไปไกลมากกว่านั้น สื่อของเกมได้สร้างสรรค์สุนทรียศาสตร์ และภาษาทางด้านภาพ เราคิดว่าเรากำลังเข้าใกล้การสร้างสถานที่ มากกว่าการสร้างภาพยนตร์”
เช่นเดียวกับงานทางด้านภาพ Rockstar เองก็เป็นทีมงานที่ใส่ใจทางด้านเสียงเป็นอย่างยิ่ง และมันจะดีแค่ไหนกันหากเสียงเพลงประกอบของมันสามารถเชื่อมต่อเข้ากับโลกได้ Woody Jackson จะกลับมาประพันธ์เพลงให้กับเกมอีกครั้ง และ Rockstar ก็จะนำเอาเสียงเหล่านั้นมาประสานเข้าเสียงที่เกิดขึ้นสภาพแวดล้อมของเกมให้ได้อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งมันก็จะแปรเปลี่ยนไปตามสถานที่ในแต่ละที่ที่ผู้เล่นได้เดินทาง “เราทำงานกันอย่างหนักมาในการเบลอเส้นกั้นของขอบเขตต่างๆ มันจะเป็นประสบการณ์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และมันก็ไม่ควรจะให้เสียงดนตรีประกอบกลบเสียงอื่นๆ ไปเสียจนหมด”
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่เราได้รวบรวมจากทั้งนิตยสาร Edge Magazine ฉบับ 325 ล่านิตยสาร Official Playstation Magazine ฉบับเดือน พฤศจิกายน 2018 รวมไปถึงเว็บไซต์อื่นๆ อีกมากมาย ที่เราก็คาดหวังว่าบทความนี้จะทำให้ผู้อ่านได้ประสบการณ์การเล่นที่ดีขึ้น และได้รับรู้ถึงแนวคิดและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ของทีมงาน Rockstar Games ที่ชื่อว่า Red Dead Redemption 2 ที่จะวางจำหน่ายในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ ทั้งบน PlayStation 4 และ Xbox One