Grand Theft Auto V คือหนึ่งในเกมที่ออกมาพลิกวงการอุตสาหกรรมเกมในช่วงปลายยุคที่ 7 ของเครื่องคอนโซลที่ได้นำพาเราไปสู่ขีดสุดของเกมในยุคนั้นด้วยโลกเสมือนที่ชื่อว่า Los Santos พร้อมกับการนำเสนอการเล่าเรื่องในรูปแบบใหม่ผ่านมุมมองของตัวละครหลักทั้ง 3 ตัวที่ผู้เล่นสามารถสลับสับเปลี่ยนมุมมองไปยังอีกตัวละครหนึ่งได้แทบจะตลอดเวลา
แต่ใน Red Dead Redemption 2 เกมใหม่ที่จะมาพลิกวงการเกมในยุคที่ 8 ของทีมงาน Rockstar Games นั้นมันก็จะเป็นการกลับไปยังรากฐานของการเล่าเรื่องในรูปแบบเดิมอีกครั้งเหมือนดังเช่นในเกม Red Dead Redemption ภาคแรกกับการมีตัวเอกเพียงคนเดียว และตัวเอกในเกมภาคนี้ก็คือชายที่ชื่อว่า Arthur Morgan
เรื่องราวของ Red Dead Redemption 2 นั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ในเกม Red Dead Redemption ภาคแรก ที่ในภาคนี้มันก็จะเล่าถึงชีวิตของเหล่าชาวแก๊ง Van der Linde กลุ่มก้อนของเหล่าพวกนอกกฎหมายที่เป็นศูนย์กลางของเรื่องราวต่างๆ ในเกมภาคแรก และ Arthur Morgan ตัวเอกของเราใน Red Dead Redemption 2 ก็คือหนึ่งในสมาชิกรุ่นใหญ่และอาจเรียกได้ว่าเป็นมือขวาของ Dutch Van Der Linde หัวแก๊งนอกรีตกลุ่มนี้ ผู้ซึ่งเป็นวายร้ายตัวหลักของเกมภาคแรก
แต่อะไรที่ทำให้ทางทีมงาน Rockstar Games ตัดสินใจกลับมาเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของตัวละครเพียงตัวเดียวอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะความต้องการของพวกเขาที่อยากจะให้เราได้สัมผัสกับความเสมือนจริงที่ทำให้เราได้บรรยากาศของการเป็นชาวแก๊งหรือกลุ่มผู้นอกกฎหมายในโลกเสมือนของแดนเถื่อน ในยุคที่การดวลปืนยังสำคัญกว่าการเจรจา
ซึ่งคุณ Josh Bass ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Rockstar San Diego ได้ให้สัมภาษณ์กับทางเว็บไซต์ Hollywood Reporter ถึงการตัดสินใจของทีมงานในครั้งนี้เอาไว้ว่า “การสลับสับเปลี่ยนตัวละครนั้นมันเข้ากับเกมและมันก็ให้ความสนุกได้เป็นอย่างมากใน Grand Theft Auto V”
“แต่การคงไว้ซึ่งตัวละครเพียงตัวเดียวนั้นก็ดูจะเป็นการเหมาะสมมากว่าสำหรับโครงสร้างของการเล่าเรื่องในแบบเวสเทิร์น กับเรื่องราวชีวิต Arthur และการต่อสู้เคียงข้างไปกับเหล่าชาวแก๊ง Van der Linde และพวกเขาก็คือกลุ่มคนที่อยู่รวมตัวกัน และตัวละครเหล่านั้นก็ตระหนักถึงเรื่องความสัมพันธ์ด้วยกันตลอดเวลาเช่นเดียวกับความสัมพันธ์กับ Arthur แต่มันคือเรื่องราวของ Arthur และเราก็อยากที่จะยึดติดผู้เล่นไว้กับตัวเขาให้แน่นผ่านสิ่งที่เหล่าแก๊งต้องเผชิญบนโลกที่กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เราคิดว่าผู้เล่นน่าจะชอบที่จะรู้สึกอินไปกับการเป็นชาวแก๊ง และมันก็ไม่เหมือนสิ่งที่เราเคยทำมาก่อนหน้านี้เลย”
แต่ถึงคุณ Josh Bass จะบอกว่าเกมจะเน้นนักไปที่เรื่องราวของ Arthur Morgan แต่มันก็ยังมีช่องว่างอีกมากมายให้เราได้สำรวจลงลึกไปยังตัวละครอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเหล่าสมาชิกแต่ละคน และยังรวมไปถึงผู้คนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในแดนเถื่อนแห่งนี้ด้วย
“เราพยายามที่จะสร้างโลกที่ทุกๆ อย่างถูกเชื่อมต่อเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นการกระทำของผู้เล่น และแนวทางที่โลกจะตอบสนองต่อการกระทำเหล่านั้นก็จะทำให้คุณรู้สึกว่ามันมีความสอดคล้องซึ่งกันและกันไม่ว่าผู้เล่นจะทำมันอะไรหรืออยู่ที่ไหนก็ตาม”
“มันคือความเชื่อมโยงและความมีชีวิตชีวา และมันก็ยังเต็มไปด้วยความรอบคอบและความละเอียดลออกับแนวทางในการที่จะสร้างโลกของเกมที่ดูสมเหตุสมผล ที่คุณสามารถที่จะควบม้าไปรอบๆ หรือจะลงมาเดินเท้า แลกเปลี่ยนเรื่องราวกับเจ้าของบาร์ในร้านเหล้า หลบหนีด้วยฝีปากจากเหล่ามือกฎหมายท้องถิ่น ออกไปปล้นสะดมรถไฟ แอบไปย่องเบาเพื่อขโมยของในบ้านไร่หลังเก่า หาเงินหรืออาหารเพื่อช่วยเหลือชาวแก๊ง ทั้งหมดเหล่านี้มันจะเป็นอะไรที่ไร้ซึ่งรอยต่อที่เต็มไปด้วยความสนุกและยังคงไว้ซึ่งคาแรกเตอร์ของตัว Arthur อย่างที่เขาเป็น”
ดังนั้นเรื่องราวของ Red Dead Redemption 2 ก็อาจจะเป็นเรื่องราวในยุคสมัยอันเรืองรองของเหล่าชาวแก๊ง Van der Linde และเป็นจุดที่ชื่อของ Dutch Van Der Linde โด่งดังไปทั่ว ก่อนที่ทุกอย่างจะมลายหายไปในจากเหตุการณ์ในเกมภาคแรก ที่ทำให้ตัวละครหลักอย่าง James Marston หนึ่งในสมาชิกแก๊งต้องออกตามล่าอดีตหัวหน้าของเขา และเราในฐานะ Arthur Morgan ของมือขวาของ Dutch Van Der Linde นั้นก็จะได้รับรู้เรื่องราวของทั้ง Dutch และ Marston กับความสัมพันธ์ของพวกเขา ก่อนที่มิตรจะเปลี่ยนกลายเป็นศัตรูกันตลอดกาล