EA แถลงผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ที่สิ้นสุดลงไปเมื่อ 31 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยรายได้กว่า 2 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และยังทำกำไรได้กว่า 225 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ทำได้ 76 ล้านเหรียญ จากความสำเร็จของเกมไลฟ์เซอร์วิสอย่าง Apex Legends
สำหรับผลประกอบการตลอดทั้งปีทาง EA ทำรายได้เพิ่มขึ้น 24% อยู่ที่ 7 พันล้านเหรียญ และมีกำไรสุทธิลดลงมา 5% มาอยู่ที่ 789 ล้านเหรียญ โดยมียอดขายเกมที่เติบโตขึ้น 25% มาอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญ และในส่วนของบริการไลฟ์เซอร์วิสก็มีการเติบโต 24% มาอยู่ที่ 5 พันล้านเหรียญ
โดยมีเกมอย่าง FIFA 22 ที่กลายเป็นเกมภาคที่ประสบความสำเร็จที่สุดของแฟรนไชส์ และมี Apex Legends ที่สามารถทำสถิติใหม่ได้ในช่วงซีซัน 12 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ในส่วนของเกม FIFA Mobile เองก็ยังมียอดผู้เล่นใหม่เพิ่มขึ้น 80% และเกมอย่าง It Takes Two ที่สามารถกวาดรางวัลมาจากเวทีต่างๆ ได้ถึง 90 รางวัล
โดยในตอนนี้ทาง EA มีผู้เล่นในเครือข่ายที่มีการแอคทีฟอยู่มากกว่า 580 ล้านรายแล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 16% โดยมีเกมอย่าง FIFA ที่มีผู้เล่นกว่า 150 ล้านรายแล้ว
โดยในส่วนของปีงบประมาณนี้ทาง EA ได้มีการประมาณการรายได้เอาไว้ที่ราว 7.6 ถึง 7.8 พันล้านเหรียญ พร้อมเผยแผนการวางจำหน่ายเกมในปีงบประมาณนี้โดยเริ่มตั้งแต่ F1 22 ที่จะออกวางจำหน่ายในไตรมาสแรก ตามมาด้วยเกม FIFA 23 และ Madden ในไตรมาสที่ 2 และ NHL และ Need for Speed ภาคใหม่ในไตรมาสที่ 3 ก่อนที่จะไปปิดปีงบประมาณในไตรมาสที่ 4 ด้วย PGA Tour และอีก 4 เกมที่ยังไม่มีการเปิดตัวที่ประกอบไปด้วยเกมในระดับ “Major IP” เกมจากค่ายพาร์ทเนอร์ เกมรีเมก และอีกหนึ่งเกมกีฬาที่ยังไม่มีการเปิดตัว
ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าเกมรีเมกนั้นก็คงเป็นเกม Dead Space Remake ที่จะวางจำหน่ายในเดือนมกราคมของปีหน้า และเกมจากค่ายพาร์ทเนอร์ก็เป็นไปได้ว่าน่าจะเป็น Star Wars Jedi: Survivor ที่ยังคงมีกำหนดวางจำหน่ายภายในปี 2023 ส่วนเกมในระดับ Major IP นั้นยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะเป็น Dragon Age ภาคใหม่ที่จะใช้ชื่อว่า Dragon Age: Dreadwolf ที่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดออกมาอย่างเป็นทางการในตอนนี้นั่นเอง