แม้จะกลับมาเป็นประจำทุกปีสำหรับแฟรนไชส์ Call of Duty แต่ในปีนี้พวกเขากลับมาพร้อมกับความทรงจำของเหล่านักเล่นเกมเมื่อ 15 ปีที่แล้วที่ได้นำเอากลับมาจินตนาการใหม่อีกครั้งกับ Call of Duty: Modern Warfare ผลงานที่เรียกได้ว่ามันเคยเป็นจุดสูงสุดของแฟรนไชส์นี้ และของทีมงาน Infinity Ward ก็ว่าได้
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเราได้เห็นการถือกำเนิดใหม่อีกครั้งของแฟรนไชส์เกมต่างๆ ซึ่งมันอาจเป็นสัญญาณของเหล่านักเล่นเกมที่ต้องการความแปลกใหม่ในสิ่งที่พวกเขารัก แต่สิ่งใหม่ๆ ที่ว่านั้นมันก็จะต้องไม่ใช่เพียงแค่ภาคใหม่ของมันแต่เป็นการลงลึก กลับไปยังต้นกำเนิดของเกมที่พวกเขาเคยหลงรักไม่ว่าจะเป็น God of War ภาคล่าสุด Doom ในเวอร์ชันใหม่ หรืออาจจะย้อนกลับไปยังการตีความใหม่ของ Tomb Raider ที่เพิ่งจะได้มีการปิดฉากลง และอย่างที่เราได้รู้กันดีว่า Call of Duty ในภาคหลังๆ นับตั้งแต่ที่สองหัวเรือหลักของแฟรนไชส์อย่าง Jason West และ Vince Zampella ลาออกไปมันก็ไม่สามารถสร้างความตราตรึงใจให้กับเหล่าแฟนเกมได้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทีมงาน Infinity Ward ในปัจจุบันนั้นรับรู้ได้เป็นอย่างดี
อย่างที่เราทราบกันดีว่า Call of Duty ในภาคหลังๆ ไม่ว่าจะเป็น Ghost, Infinite Warfare, Advance Warfare หรือแม้แต่ World War II มันเป็นเรื่องราวที่ไกลตัวเราและขาดความเชื่อมโยงกับโลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ทีมงาน Infinity Ward ตัดสินใจกลับมาเล่าเรื่องราวของการทหารในยุคปัจจุบันอีกครั้งใน Modern Warfare บน “โลกแห่งศีลธรรมอันสีเทา” และหนึ่งในภารกิจของเกมก็จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงลอนดอนของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกม Call of Duty: Modern Warfare เวอร์ชันกำเนิดใหม่ได้ออกวางจำหน่ายนั่นเอง
จินตนาการใหม่ของ Modern Warfare
“ในตอนที่ Modern Warfare 3 ได้จบลง นิวเคลียร์ได้ถูกยิงออกไปแล้ว และสหรัฐก็โดนรุกรานโดยรัสเซีย มันก็ไม่มีเดิมพันอันเกี่ยวข้องที่จะมากกว่านั้นไปได้แล้ว” Taylor Kurosaki ผู้กำกับด้านการเล่าเรื่องของ Infinity Ward ได้เปิดเผยกับทางเว็บไซต์ Polygon “ดังนั้นเราจึงเอาเส้นเรื่องนั้นออกไปและแทนที่ด้วยการจินตนาการตัวละครเหล่านั้นใหม่ว่าพวกเขาจะทำงานกันได้อย่างไรในความขัดแย้งที่กำลังเกิดอยู่ในตอนนี้”
“โลกที่เราอยู่มีความซับซ้อนมากกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาก ศัตรูที่พบเห็นมักไม่มีชุดเครื่องแบบของพวกเขา และผลลัพธ์ของมันก็คือเหล่าประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความเสียหายเหล่านั้นต่างหากที่เป็นส่วนสำคัญของสมการ”
คุณ Taylor Kurosaki ได้เปรียบเทียบ Modern Warfare ในเวอร์ชันนี้กับภาพยนตร์เรื่อง Casino Royale ที่ออกฉายในปี 2006 ซึ่งเป็นการนำเอาแฟรนไชส์ James Bond มาถือกำเนิดใหม่อีกครั้งด้วยโทนเรื่องที่มีความขึงขังมากขึ้น นอกจากนี้เขายังได้พูดถึงภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการทหารอีกหลายเรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเกมในภาคนี้ไม่ว่าจะเป็น Lone Survivor, American Sniper, Hurt Locker และ Sicario ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ว่า เรื่องราวเหล่านั้นมันไม่ใช่เพียงแค่การผิดถูกแบบ “ขาวและดำ” แต่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกับผู้คนที่ต้อง “หาหนทางในการอยู่รอดผ่านโลกอันแสนโหดร้าย” นั่นเอง
คุณ Jacob Minkoff ผู้กำกับด้านเกมการเล่นในส่วนของเนื้อเรื่องของ Modern Warfare ได้เสริมอีกด้วยว่าแน่นอนว่ามันก็ต้องเป็น Call of Duty 4: Modern Warfare ฉบับดั้งเดิมโดยเฉพาะภารกิจ AC-130 ซึ่งเป็นภารกิจที่ตัดผู้เล่นออกจากฉากการรบภาคพื้นดิน และผู้เล่นนั้นก็จะต้องค้นหาและยิงใส่ศัตรูที่ไม่เคยแม้แต่ได้เห็นหน้าค่าตาจากบนเครื่องบิน AC-130 ผ่านหน้าขอควบคุมที่มีเพียงแค่สีดำและขาว ซึ่งแทบจะไม่ต่างจากภาพการโจมตีทางอากาศที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง “ผมรู้สึกว่ามันมีความจริงที่ทำผมรู้สึกไม่ค่อยรู้สึกสบายใจนักในจังหวะนั้น” คุณ Minkoff กล่าว และสิ่งที่เขาต้องการก็คือการทำให้ Modern Warfare ในเวอร์ชันใหม่นี้สร้างจังหวะที่เต็มไปด้วย “ความหมาย ความเกี่ยวโยง และการกระตุ้นให้เรารู้สึกไม่สบายใจ”
โลกศีลธรรมอันสีเทา
สองภารกิจใน Call of Duty: Modern Warfare ที่ทางทีมงานน่าจะมีการเปิดเผยออกมาในเร็วๆ นี้น่าจะทำให้เราได้เห็นภาพของมันมากขึ้นว่า Modern Warfare ในยุคใหม่นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างไรบ้าง
โดยในฉากแรกนั้นมันจะเป็นฉากที่เราจะได้เห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นผ่านมุมมองของหน่วย SAS ของอังกฤษในกรุงลอนดอนนอกเขตจัตุรัสพิคคาดิลลี่ ที่ได้เกิดเหตุการณ์คาร์บอมบ์ขึ้นบนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน หน่วยรับทางการทหารได้มีการตรวจพบผู้ต้องสงสัยในบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุ พวกเขาลอบเร้นเข้ายังอพาร์ตเมนท์แห่งนั้นผ่านตรอกซอยที่อยู่ด้านหลังที่ปกคลุมไปด้วยความมืดจนทำให้เหล่าทหารของหน่วย SAS จำต้องใช้กล้องมองกลางคืนในการสอดส่องหาเส้นทาง ซึ่งมันเหมือนกับฉากที่เราได้เห็นในภาพยนตร์อย่าง Zero Dark Thirty
พวกเขาได้เข้าไปยังห้องครัวและทำการยิงสองผู้ต้องสงสัยผู้ชายร่วงลงไปทั้งคู่ และผู้หญิงอีกหนึ่งคน พวกเขาค่อยคืบคลานขึ้นไปยังชั้นและเข้าไปยังห้องห้องหนึ่งโดยมีชายคนหนึ่งได้จับเอาผู้หญิงไว้เป็นตัวประกัน พวกเขายิงชายคนนั้นทิ้ง แต่แทนที่หญิงสาวคนนั้นจะขอบคุณเหล่า SAS เธอกลับหยิบปืนไรเฟิลที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาและเล็งเป้าเขามาหาสมาชิกในหน่วย ก่อนที่พวกเขาจะกำจัดเธอทิ้ง เหล่าผู้ต้องสงสัยที่เหลือยังคงแอบซ่อนอยู่ตามเงามืด และเหล่า SAS นั้นก็ทำการยิงทะลุผ่านกำแพง และไล่กำจัดเป้าหมายในแต่ละชั้นไปเรื่อยๆ มันมีเสียงของเด็กทารกที่ร้องไห้อยู่ในเปล มีอีกหนึ่งผู้ต้องสงสัยแอบอยู่ใต้เตียง แต่ดันเผยให้เห็นลำกล้องของกระบอกปืนให้เหล่า SAS ได้เห็น พวกเขาสาดกระสุนทะลุเตียงนอนและผู้ต้นสงสัยคนนั้นก็ตายคาใต้เตียง
ขึ้นไปอีกชั้นพวกเขาพบกับหญิงสาวที่ไม่ได้ติดอาวุธ แต่ทันทีเธอเคลื่อนไหวเธอก็ถูกฆ่าทิ้งแทบจะทันที เพราะเธอ “กำลังจะจุดระเบิดตัวเอง” นั่นคือหนึ่งในสิ่งที่เจ้าหน้าที่ SAS ได้พูดขึ้นมา
หน่วย SAS จำเป็นต้องถามคำถาม และพวกเขาก็ไม่ทำการจับกุมใดๆ มันเต็มไปด้วยความรุนแรงอันน่าหวาดหวั่น มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเงียบงัน และมีความจริงแท้ และเต็มได้ความคับค้องข้องใจ มันเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในเกมยิ่งมุมมองบุคคลที่หนึ่งที่ดูเหมือนว่าผู้เล่นนั้นอาจจะเป็นคนฆ่าประชาชนทั่วไปที่เราพบเห็นได้ในทุกๆ วัน
อีกหนึ่งภารกิจของเกมนั้นไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาในปัจจุบัน แต่มันพาเรากลับไปยังมุมมองที่แตกต่างออกไป โดยพาเราย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อนหน้าเหตุการณ์ในเดือนตุลาคมนั้น ในประเทศแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง โดยเปิดฉากด้วยเด็กสาวคนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาท่ามกลางซากศพและเศษซากปรักหักพัง แม่ของเธอถูกฆ่าโดยระเบิดปูพรมของรัสเซียทำให้เธอติดอยู่ในเศษซากของสิ่งก่อสร้าง
เด็กสาวได้ถูกช่วยเหลือและได้พบพ่อของเธออีกครั้ง พวกเขาทั้งคู่ได้มุ่งต้องไปกลับบ้านแอบลักลอบผ่านถนนหนทางในเมืองเพื่อหาทางหลบหนีไปจากกองกำลังของรัสเซียที่กำลังเข่นฆ่าเพื่อนและเพื่อนบ้านของพวกเขา แต่สุดท้ายพ่อละลูกสาวก็เดินทางมาถึงบ้านได้ ซึ่งลูกชายนั้นได้ตระเตรียมสัมภาระต่างๆ รออยู่แล้วในการที่จะหลบหนีออกไปยังเมืองเมืองนี้ แต่แล้วหน่วยทหารสอดแนมของก็ได้มาเจอกับพวกเขาเข้า พวกเขายิงพ่อลง แต่เด็กๆ ทั้งคู่สามารถหลบหนีไปยังจุดซ่อนตัวได้ มันเหมือนกับเกมแมวไล่จับหนู พวกทหารรัสเซียเริ่มข่มขู่ให้เด็กทั้งสองออกมาจากที่ซ่อน แต่ทันใดนั้นเด็กสาวก็ได้หยิบคว้าเอาไขควงและจ้วงแทงเข้าใส่ทหารรัสเซีย หนึ่งครั้ง สองครั้ง และครั้งที่สาม เธอได้แย่งปืนของเขามาและเหนี่ยวไกของ Kalashnikov เข้าใส่ทหารรัสเซียคนนั้นกระสุนปืนถูกสาดเข้าใส่ร่าง เขาสิ้นชีพลงไปพร้อมกับมือที่สั้นเธอของเด็กสาว ที่จับปืนเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
แต่ความน่ากลัวยังไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ทั้งสองยังต้องหาทางหนีรอดออกไปให้ได้ ตลอดทางพวกเธอได้เป็นประจักษ์พยานของสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนั้น ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กถูกรมแก๊สและถูกฆ่าให้ตาย ฉากที่ว่าจบลงด้วยการที่เด็กสาวได้เก็บปืนพกขึ้นมา ทั้งคู่ได้เจอกับหน่วยลาดตระเวนและยิงใส่เขา และฉากนี้ก็หลักฐานว่าความขัดแย้งในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไรจากมุมมองของเด็กผู้หญิงคนเดิมที่ในตอนนี้เธอได้กลายเป็นนักต่อสู้เพื่ออิสรภาพแล้ว
สำหรับตัวละครหญิงสาวนี้จะเป็นครึ่งเนื้อของเรื่องราวใน Modern Warfare ในขณะที่เกมจะยังคงนำเอาเหล่าสมาชิกในหน่วย Tier 1 กลับมาอีกครั้งซึ่งรวมทั้งร้อยเอก John Price และ John “Soap” McTavish ที่ทั้งคู่นั้นก็ได้รับการจินตนาการใหม่สำหรับเกม Modern Warfare ในเวอร์ชันนี้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นว่าสงครามนั้นส่งผลอย่างไรกับเหล่ากบฏและกลุ่มกองกำลังที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพผ่านมุมมองการเล่นในรูปแบบบุคคลที่หนึ่ง
กำเนิดใหม่เทคโนโลยีใหม่
“เราได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของผู้คนธรรมดาที่พยายามจะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางบริบทของสงครามเป็นอย่างมาก” คุณ Michal Drobot วิศวกรในส่วนของการทำ Rendering กล่าว
และเพื่อให้ความขัดแย้งนั้นสมจริงทาง Infinity Ward จึงได้มีการอัปเดตเทคโนโลยีของพวกเขาแทบจะทั้งหมดในการสร้าง Modern Warfare ให้มันมีความคล้ายคลึงกับโลกแห่งความเป็นจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ พวกเขาได้ลงทุนในการใช้เทคโนโลยี Photogrammetry ในการสแกนภาพจากวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถ, สิ่งของต่างๆ ไปจนถึงรถถัง T-72 และแม้กระทั่งตัวคน ในการทำให้เกมมีความสมจริงมากที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยสร้างมา ผลลัพธ์ที่ได้คือ Modern Warfare ที่มาพร้อมกับเอนจินใหม่ที่มาพร้อมกับชุดประสงค์ใหม่ ซึ่งมันยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อย่างการทำ Ray-Trace ในส่วนของเงา แสงสะท้อน และเสียงในการเรนเดอร์การตกกระทบของกล้องมองกลางคืนและก้องจับความร้อน และยังรวมไปถึงการสร้างพลวัตของแสงสะท้อนและการส่องสว่างทั่วไปในเกม และยังรวมไปถึงปริมาตรของแสงอีกด้วย
และเพื่อความสมจริงที่ยิ่งขึ้นอาวุธปืนภายในเกมก็จะเป็นปัจจัยหลักและเป็นส่วนสำคัญอย่างมากมันจะมีการทำเอฟเฟกต์ Motion blur ที่สมจริงและมีประกายไฟที่ปากกระบอกอย่างถูกต้อง ผู้เล่นสามารถทำการบรรจุกระสุนใหม่ในขณะที่ทำการเล็งผ่านศูนย์ได้ และเมื่อผู้เล่นทำการบรรจุกระสุนโดยที่ยังไม่หมดแมกาซีนตัวละครของผู้เล่นก็จะทำการเก็บแมกาซีนนั้นไว้โดยที่ไม่ได้ทิ้งแมกาซีนนั้นไปเลย และมันยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีทางด้านเสียงแบบใหม่ที่จะทำให้ปืนแต่ละกระบอกนี้ให้ความรู้สึกที่มีพลังทำลายอย่างที่อาวุธชิ้นนั้นควรจะเป็น และมันก็จะใช้การอัดเสียงจากปืนจริงๆ ด้วยไมโครโฟนกว่า 20 ตัวที่จะไล่ทำการบันทึกตั้งแต่การคันรั้ง เสียงการบรรจุกระสุน เสียงปืนที่ยิงออกมา ไปจนถึงเสียงปลอกกระสุนที่ตกลงสู่พื้น และนอกจากนั้นแรงดีดของปืนรวมไปถึงการกระจายและการตกกระทบของกระสุนนั้นก็จะมีความแตกต่างและมีความสมจริงมากขึ้นยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
Call of Duty ที่สมจริงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
“มันคือเกมจำลองหารทหาร” คุณ David Stohl หนึ่งในหัวหอกหลักของ Infinity Ward กล่าว โดยเขาได้บอกว่าทีมของเขานั้นต้องการให้มันมี “ความสมจริงสมจังที่มากขึ้นไม่ใช่เพียงแค่ภาพจำแบบซูเปอร์ฮีโร่” สำหรับ Modern Warfare ใหม่นี้ และในขณะที่เกมยิงทางการทหารนั้นมักที่จะเต็มไปด้วยความรุนแรงโดยเนื้อแท้ แต่ทางทีมงาน Infinity Ward ก็ตั้งเป้าเอาไว้ว่ามันจะต้อง “มีความตึงเครียดและมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าจำนวนศพและความเลือดสาด” อย่างแน่นอน
“นี่คือเกมที่มีความขึงขังและมีความสมจริงที่สุดเท่าที่เราเคยสร้างมา” คุณ Minkoff กล่าว “เราทุกคนต่างต้องการที่จะเล่าเรื่องเพื่อให้ผู้เล่นได้รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างด้วยตัวเอง”
Call of Duty: Modern Warfare จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ทั้งบน PlayStation 4, Xbox One และ PC (ผ่านทาง Battle.net) และจะรองรับระบบการเล่นแบบ cross-platform เป็นครั้งแรกของแฟรนไชส์อีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
Call of Duty: Modern Warfare is a realistic reboot designed to make you feel uncomfortable
The Reinvention of Modern Warfare