แม้ Anthem จะมีพื้นฐานของการเป็นเกมยิง Multiplayer ที่ผู้เล่นทั้ง 4 จำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อผ่านภารกิจต่างๆ เป็นหลัก แต่ถึงกระนั้นแล้วด้วยรากฐานของทีมพัฒนา BioWare ผู้สร้างเกม RPG ที่ผ่านผลงานมามากมาย ก็ยังทำให้ Anthem คงไว้ซึ่งแก่นและ DNA ของการต่อสู้ในรูปแบบของเกมสวมบทบาทอย่างที่เราคุ้นเคย เพราะในการต่อสู้นั้นผู้เล่นทั้ง 4 จำต้องมีบทบาทและหน้าที่ในการส่งเสริมและช่วยเหลือกัน เพื่อให้ผ่านภารกิจของเกม ที่จะต้องใช้ทั้งกลยุทธ์และความสามารถต่างๆ ที่เกื้อหนุนกันของ Javelin ที่จะเป็นภาพสะท้อนแนวทางของผู้เล่นแต่ละคนที่จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
เป็นเวลา 2 ปีแล้วนับตั้งแต่ที่ Anthem ได้เปิดตัวในงาน E3 กับก้าวต่อไปของพวกเขาในการสร้างเกมที่แตกต่างไปจากที่พวกเขาเคยทำมา แม้มันจะเป็นเกมแนวมุมมองบุคคลที่ 3 ที่อิงพื้นฐานมาจาก Mass Effect ผลงานก่อนหน้าของพวกเขาเป็นหลัก แต่ในครั้งนี้มันก็จะมาพร้อมกับองค์ประกอบของการเป็นเกมแนว Co-op เฉกเช่นเกมอย่าง Destiny หรือ Monster Hunter World ที่อาจไม่มากก็น้อย แต่อะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ BioWare ตัดสินใจเลือกเดินในทิศทางที่พวกเขาไม่คุ้นเคยนั้น และใครที่จะเป็นคนตอบคำถามเรื่องนี้ได้ดีที่สุด หากไม่ใช่ผู้สร้างเกมอย่างคุณ Thomas Singleton โปรดิวเซอร์ของ Anthem จากทีมพัฒนา BioWare
“เพราะมันคือสิ่งที่ผู้เล่นเลือกที่จะเข้าหา และมันก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการในชีวิต” คุณ Thomas Singleton ได้อธิบายถึงแนวคิดที่ทำให้ทีมงานตัดสินใจมาเน้นสร้างเกมที่เป็นเกม Co-op ที่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแชร์ประสบการณ์ของการเล่าเรื่องให้กับผู้เล่น “จะบอกว่ายิ่งมีการเล่าเรื่องมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งทำให้ผู้เล่นได้ดื่มด่ำไปกับเนื้อหาปูมหลัง และสภาพแวดล้อมของเกมได้เท่านั้น ถ้าพูดตรงๆ ก็นะ มันคือการให้ความสำคัญไปกับสิ่งที่พวกเขากำลังเล่นอยู่ไงล่ะ”
แต่ก็ดูเหมือนว่าเนื้อเรื่อง Anthem ยังเป็นสิ่งที่สำคัญรองลงมาจากความสนุกของเกมเพลย์รูปแบบใหม่ที่ทางทีมงานได้คิดค้น เพราะในระหว่างที่ทางทีมงาน Official PlayStation Magazine ได้ไปทดลองเล่น Anthem และสัมภาษณ์คุณ Thomas Singleton เขาก็ไม่ได้ให้รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของ Anthem มากนัก แต่สิ่งที่น่าสนใจที่คุณ Thomas Singleton นำเสนอกลับเป็นข้อมูลของระบบเกมเพลย์ต่างๆ ของ Javelin ที่แบ่งออกไปตามคลาสทั้ง 4 ที่จะมีแก่นในการเล่นเฉกเช่นเดียวกับเกม RPG ขนานแท้ โดยเฉพาะ Javelin ของผู้เล่นที่มีความเป็นปัจเจก จากความสามารถในการปรับแต่งได้อย่างอิสระ ก็จะเป็นสิ่งที่สะท้อนและสร้างประสบการณ์ในการเล่นให้แก่ผู้เล่นแต่ละคน ที่แตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน
“การได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งใน Javelin คือส่วนขยายของเรื่องราวของคุณ”
คุณ Thomas Singleton อธิบายไว้ว่า “Javelin คือการสะท้อนภาพโดยตรงของตัวคุณเองในเกม ผ่านการปรับแต่งและตัวเลือกในการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่แต่ละตัวเลือกนั้นก็จะให้ซึ่งความแตกต่างกัน และมันก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางของเกม รวมไปถึงพลวัตของคุณในทีมด้วย”
Javelin คือตัวตนและเรื่องราว
ซึ่งมันก็เป็นเช่นที่คุณ Thomas Singleton ได้ว่าไว้ เพราะระบบคลาสทั้ง 4 ของ Anthem นั้นมีกลยุทธ์ที่อิงรากฐานมาจากเกม RPG แบบดั้งเดิมจริงๆ และมันก็ยังมีความแปรผันที่ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นและทีม เลือกสรรพาวุธชนิดไหนในการติดตั้งให้กับ Javelin ซึ่งจะทำให้มันมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไปในการพิชิตผ่านภารกิจของตัวเกม
และ Javelin ทั้ง 4 ที่มีการเปิดเผยมาในตอนนี้ (ที่คุณ Thomas Singleton ได้แย้มออกมาเล็กๆ โดยการบอกว่า “เรากำลังพูดถึง ชุดสูททั้ง 4 เท่านั้นใน’ตอนนี้'” ซึ่งอาจแปลว่า มันมีคลาสอื่นๆ ของ Javelin อีกที่จะเปิดเผยมาในอนาคต) ทั้ง Ranger, Colossus, Storm, และ Interceptor จะทำงานร่วมกันอย่างไร? เราก็พอจะได้เห็นภาพแล้ว
รากฐานของความเป็น RPG
ในเดโมเกมเพลย์ที่ทางทีมงาน Official PlayStation Magazine ได้ทดลองเล่นนั้น พวกเขาได้ใช้ Interceptor ซึ่งเป็นคลาสของ Javelin ที่มีความรวดเร็วและความคล่องตัวที่สูงที่สุดในบรรดาคลาสทั้ง 4 ที่ทำให้เขาสามารถเคลื่อนที่เข้าหาเหล่า Scars ซึ่งเป็นศัตรูภายในเกมได้อย่างรวดเร็ว และเชือดเฉือนพวกมันด้วยมีดสั้นคู่ ก่อนที่จะฉากหลบออกมาให้พ้นจากอันตราย
ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจนั้นก็คือระบบ Gear ของ Interceptor อย่าง Cluster Mine และมีดสั้นที่จะพุ่งเข้าหาศัตรูโดยอัตโนมัติ และยังมีความสามารถอย่าง Star Strike ที่เป็นการทำให้ตัวของ Interceptor กลายเป็นอาวุธเองโดยการพุ่งเข้าหาศัตรูเพื่อสร้างความเสียหาย แต่ถึงแม้ Interceptor จะมีความสามารถในการสร้างความเสียหายให้กับศัตรูที่มาก พลังป้องกันของ Interceptor ก็จะเรียกได้ว่าบอบบางมากจนทำให้พวกเขาเปรียบเสมือนหน่วยสอดแนมที่จำต้องได้รับการสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา
“ที่ที่เกมจะเปล่งประกายความเป็นตัวมันได้มากที่สุด ก็คือการเล่นแบบ Squad ที่คุณจะต้องทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวในการพิชิตภารกิจที่หลากหลายของเกม”
ซึ่งในภารกิจ Lost Arconist ที่ทางทีมงาน BioWare ได้นำมาให้ทีมงาน Official PlayStation Magazine ได้ทดสอบมันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคลาสทั้ง 4 นั้นจำต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน และต้องใช้กลยุทธ์อย่างไรในการจัดการกับเหล่า Scars ที่จะถาโถมเข้าใส่ผู้เล่นด้วยจำนวนที่มากมหาศาล
ตัวอย่างเช่น Ranger ที่จะเป็นคลาสเหมือนเช่นคลาสอัศวินในเกม RPG ที่มีความสามารถสมดุลทั้งการโจมตีและการป้องกันที่ทางคุณ Thomas Singleton ได้อธิบายว่า “เขาคือนักรบอเนกประสงค์ในแนวหน้า และถ้าอ้างอิงตามเนื้อหาปูมหลังของเกมแล้วพวกเขาคือราชองครักษ์ (Royal Guard) ที่คุณจะได้พบเห็นพวกเขาเป็นจำนวนมากรอบๆ Fort Tarsis”
และ Colossus ก็คือตัวแทงก์ของ Anthem มันคือ Javelin สำหรับผู้เล่นที่ต้องการจะหน่วยทะลวงฟันให้กับปาร์ตี้ “ถ้าคุณชอบระเบิดอะไรตูมตามละก็ Colossus นี่แหละที่เป็นตัวเลือก” ซึ่งหน้าที่หลักของมันก็คือการระเบิดฝูงเหล่า Scars ให้กระจุยด้วยปืนใหญ่ Flak Canon ที่ติดตัวมา แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้มาพร้อมกำลังทำลายล้างเพียงอย่างเดียวด้วยระเบิดนิวเคลียร์ขนาดเล็กที่เป็นความสามารถพิเศษหรือ Ultimate ที่เรียกว่า Siege Cannon มันยังมีความสามารถในการเกื้อหนุนเพื่อนร่วมทีมอีกด้วยในการล่อหลอกศัตรูให้พุ่งเป้าเข้ามาโจมตีในขณะที่ก็ใช้โล่กำบังการโจมตีต่างๆ มันเป็นกลยุทธ์เพื่อทำให้เพื่อนร่วมทีมมีโอกาสในการฟื้นฟูสถานะต่างๆ หรืออาจเป็นการทำให้เหล่าศัตรูอ่อนกำลังลงก่อนเปิดฉากการโจมตี
และสุดท้ายกับ Storm มันก็เป็นคลาสที่จะสนับสนุนการโจมตีจากระยะไกล เหมือนคลาสจอมเวทในเกม RPG และมัน “ก็เป็นคลาสที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยเหล่าศัตรูของ Freelancer ที่ชื่อว่า Dominion” ที่มาพร้อมกับความสามารถเฉกเช่นเดียวกับชื่อของมัน ที่สามารถใช้พลังจากผลึกในการปล่อยพลังทำลายล้างที่อิงกับธาตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยไฟ, น้ำแข็ง, ลม และสายฟ้า
และที่น่าสนใจเป็นอย่างมากก็คือ Storm นั้นมีความสามารถในเชิงป้องกันที่มากที่สุดเพราะด้วยพลังของผลึกที่ติดตั้งอยู่ก็จะทำให้พวกเขาลอยอยู่กลางอากาศได้ตลอดเวลา และยังเป็นการสร้างโล่พลังงานที่ป้องกันการโจมตีจากระยะไกลได้อีกด้วย แต่ถึงกระนั้นจุดอ่อนของ Storm ก็คือการต่อสู้ระยะประชิดที่อาจทำอันตรายได้ถึงตาย จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องหลีกหนีให้ไกลจากศัตรูให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และปล่อยให้แถวหน้าอย่าง Colossus และ Ranger ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน เพื่อจะให้ Storm สามารถทำการโจมตีด้วยพลังงานธาตุต่างๆ จากระยะไกลได้ และนั่นก็คือหัวใจหลักของกลยุทธ์ต่างๆ ที่จะเป็นบทพิสูจน์ของการเป็นเกม Co-op อย่างแท้จริงใน Anthem
หัวใจหลักคือการทำงานเป็นทีม
ในช่วงท้ายของภารกิจ Lost Arconist เราจะได้เห็นกลยุทธ์ต่างๆ อย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็น Colossus ที่อยู่แนวหน้าในการล่อหลอกความสนใจของศัตรู ในขณะที่ใกล้ๆ นั้นก็เป็น Ranger ที่คอยสนับสนุนการต่อสู้ด้วยอาวุธระยะใกล้อย่าง Shock Mace และลูกระเบิด Grenade ที่หลากหลาย Interceptor ที่โฉบไปมากลางสนามรับเพื่อสังหารศัตรูที่ลมหายใจรวยริน และปิดท้ายด้วย Storm ที่ได้ปลดปล่อยพลัง Ultimate ในการสร้างความเสียหายด้วยพลังจากการผลึกที่เป็นการเรียกดาวตกให้พุ่งทะลายเหล่าศัตรู
ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นหมุดหมายอันดีของ Anthem ในการสร้างความประทับใจให้กับผู้เล่นที่จะได้ประสบการณ์ในการเล่นเกมแนว Co-op แบบที่ไม่เคยได้สัมผัสในเกมไหนมาก่อน
และเกมก็จะออกวางจำหน่ายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2019 ทั้งบน PlayStation 4, PC และ Xbox One ซึ่งหากมันมีเรื่องราวของ Anthem ที่น่าสนใจเราก็จะนำมาอัปเดตให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันอย่างแน่นอน