แฟรนไชส์ดังของ Ubisoft ทำลายสถิติแต่ยังไม่ช่วยให้รายได้ทั้งปีของค่ายเติบโต

Ubisoft แถลงผลประกอบการประจำปี โดยมีรายได้ที่ลดลง 4% มาอยู่ที่ 2.1 พันล้านยูโร (2.2 พันล้านเหรียญ) และมีกำไรอยู่ที่ 79.5 ล้านยูโร (84 ล้านเหรียญ) ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ทำกำไรไปได้ 105.2 ล้านยูโร (111 ล้านเหรียญ) แม้เกมในแฟรนไชส์ดังทั้ง Assassin’s Creed, Far Cry, และ Tom Clancy’s Rainbow Six จะสามารถทำเงินได้มากกว่า 300 ล้านยูโร (316 ล้านเหรียญ) ได้เป็นครั้งแรกของทางค่าย

สำหรับในปีนี้ทาง Ubisoft ได้ยืนยันออกมาแล้วว่าจะมีการปล่อยเกมใหม่ออกมาได้แก่ Rabbids: Party of Legends, Roller Champions และคอนเทนต์ใหม่ของเกม Tom Clancy’s Rainbow Six, Rider Republic, Tom Clancy’s The Division และ Assasssin’s Creed Valhalla

โดยทาง Ubisoft คาดการณ์เอาไว้ว่าจะสามารถปิดรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2023 เอาไว้ที่ 280 ล้านยูโร (290 ล้านเหรียญ) ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้า 14% ที่เคยทำได้ 326 ล้านยูโร (338 ล้านเหรียญ) แต่อย่างไรก็ดีทาง Ubisoft ก็คาดว่าจะสามารถทำให้รายได้เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญในปีงบประมาณ 2023 นี้

ซึ่งทางเฟเดอริก ดูเกต์ (Frédérick Duguet) ประธานฝ่ายการเงินของ Ubisoft กล่าวเอาไว้ว่า “สำหรับในปี 2022-2023 เราคาดหวังว่าะสามารถกลับมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญได้ ซึ่งมันก็จำเป็นที่จะต้องมีเกมในระดับพรีเมียมที่มีความหลากหลายมาเป็นตัวขับเคลื่อนทั้ง Avatar: Frontiers of Pandora, Mario + Rabbids: Sparks of Hope และ Skull & Bones รวมไปถึงเกมไตเติลอื่นๆ ที่น่าตื่นเต้นด้วย”

โดยทาง Ubisoft จะยังคงเดินหน้าในการพัฒนาเอนจินของทางค่ายทั้ง Anvil และ Snowdrop แทนที่จะไปเลือกใช้งาน Unreal Engine 5 เหมือนกับค่ายเกมอื่นๆ รวมไปถึง i3d.net ที่เป็นบริการด้านโฮสติงของบริษัท และทาง อีฟส์ กิลโมต์ (Yves Guillemot) ประธานของ Ubisoft ยังได้เปิดเผยว่าพวกเขายังได้มีการลงทุนในส่วนของการพัฒนาระบบคลาวด์ที่เป็นแพลตฟอร์มใหม่ของทางค่ายอีกด้วยด้วยทั้งในส่วนของ Scalar, Voxels และ Web3

สำหรับข่าวเกี่ยวกับการขายกิจการทาง อีฟส์ กิลโมต์ ได้ยืนยันว่า “เราจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อที่จะทำให้เรายังคงเป็นอิสระ” หลังจากมีข่าวลือออกมาก่อนหน้าว่ามีบริษัทและกลุ่มทุนหลายรายที่จะเข้ามาซื้อกิจการของ Ubisoft ทั้ง โดยมีชื่อของ Blackstone และ KKR & Co. ที่กำลังติดตามสถานการณ์ของ Ubisoft อย่างใกล้ชิด รวมไปถึงกลุ่มตระกูลกิลโมต์ที่อาจจะมาเข้าถือครองกิจการ Ubisoft ทั้งหมดด้วยตัวเอง

โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมาหุ้นของ Ubisoft อ่อนแรงลงเป็นอย่างมากทั้งจากปัญหาเรื่องการคุกคามทางเพศของบริษัท การเลื่อนการวางจำหน่ายเกม และปัญหาในระหว่างการพัฒนา โดยก่อนหน้าในปี 2015 ถึง 2018 นี้ทาง Ubisoft ได้เคยพยายต่อสู้กับการเข้าซื้อกิจการโดยทาง Vivendi มาแล้วจนทำให้ Vivendi ต้องถอนหุ้นจากบริษัทออกไปทั้งหมด

Share this article
0
Share
0 Share
0 Tweet
0 Share
0 Share
Shareable URL
0
Share