Call of Duty ยังคงออกวางจำหน่ายเกมภาคใหม่มาให้เราได้เล่นกันทุกปีและปีนี้ก็กลับมาเป็นคิวของทีมงาน Sledgehammer Games อีกครั้งที่ได้รับหน้าที่ในการพัฒนากับเกมภาคใหม่ที่ชื่อว่า Call of Duty: Vanguard ที่จะเป็นการพาผู้เล่นกลับไปยังสมรภูมิรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกครั้ง
สำหรับโหมดการเล่นแคมเปญเล่นเดี่ยวในภาคนี้จะนำเสนอผ่านเส้นเรื่องสี่เรื่องราวผ่านสมรภูมิรบในสงครามโลกครั้งที่สองตั้งแต่สงครามแปซิฟิก, แนวหน้าทางฝั่งตะวันตกและตะวันออก, ไปจนถึงสมรภูมิในแถบแอฟริกาเหนือ โดยจะเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครวีรบุรุษจากหลากหลายเชื้อชาติที่ไม่เคยปรากฏตัวในหน้าประวัติศาสตร์มาก่อน ซึ่งพวกเขาเหล่ายังเป็นจุดเริ่มต้นของหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่จะมาเป็นผู้เปลี่ยนฉากหน้าของสมรภูมิรบในอนาคตอีกด้วย
โดยตัวละครหลักที่ผู้เล่นจะได้รับบทในเกมภาคนี้ก็จะประกอบไปด้วย สิบเอก อาร์เธอร์ คิงสลีย์ (Sergeant Arthur Kingsley) แห่งกองพันพลร่มที่ 9 ของกองทัพอังกฤษ หัวหน้าของหน่วยปฏิบัติการ Task Force One, ร้อยโท โปลินา เปโตรวา (Lieutenant Polina Petrova) พลแม่นปืนกองพลปืนเล็กยาวที่ 138 แห่งกองทัพแดง, ร้อยโท เวด แจ็คสัน (Lieutenant Wade Jackson) นักบินแห่งกองร้อยสอดแนมที่ 6 จากนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา, พลทหาร ลูคัส ริกส์ (Private Lucas Riggs) ทหารราบสังกัดกองพันที่ 20, กองพลทหารราบที่ 9 ของออสเตรเลีย, และ สิบเอก ริชาร์ด เว็บบ์ (Richard Webb) พลร่มของกองทัพอังกฤษที่จะมามีบทบาทสมทบในหน่วย Task Force One ซึ่งวายร้ายหลักของเกมก็คือเจ้าหน้าที่สอบสวนของหน่วย SS และเกสตาโป เฮอร์มัน เวนเซล ไฟรยซิงเกอร์ (Hermann Wenzel Freisinger) ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังโครงการ “Project Phoenix”
สำหรับโหมดการเล่นมัลติเพลเยอร์ในเกมภาคนี้ก็จะมาพร้อมกับแผนที่ถึง 20 แผนที่ในตอนที่เกมออกวางจำหน่าย โดย 16 แผนที่จะเป็นแผนที่สำหรับโหมดการเล่นหลัก และอีก 4 แผนที่ที่จะเป็นแผนที่สำหรับโหมดการเล่น “Champion Hill” ที่เป็นโหมดการเล่นใหม่ของเกมภาคนี้ที่เป็นการนำเอาโหมด “Gunfight” ของเกม Call of Duty: Modern Warfare มาต่อยอดที่จะมาพร้อมกับโหมด Solos, Duos, และ Trios ให้ผู้เล่นได้มาจับคู่ต่อสู้ผ่านทัวร์นาเมนต์การแข่งขันแบบทีมต่อทีม โดยที่แต่ละทีมนั้นจะต้องหาทางเอาตัวรอดเป็นทีมสุดท้ายให้ได้
โดยระบบมัลติเพลเยอร์ในเกมภาคนี้ยังมาพร้อมระบบจับคู่ (matchmaking) แบบใหม่ที่ชื่อว่า “Combat Pacing” ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถเลือกจับคู่การเล่นในรูปแบบต่างๆ ตามสไตล์การเล่นได้โดยจะแบ่งออกเป็น Tactical ที่จะเน้นไปที่รูปแบบการเล่นแบบ 6v6, Assault ที่จะเป็นโหมดการเล่น 10v10 หรือ 12v12, และ Blitz ที่จะเน้นหนักไปที่การเล่นแบบ 24v24 นอกจากนี้ตัวเกมยังมาพร้อมกับระบบ “Caliber system” ที่จะทำให้สภาพแวดล้อมบางส่วนมีการตอบสนองและถูกทำลายได้ และยังมีระบบการยิง “blind fire” ที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาพร้อมกับระบบป้องกันการโกงแบบใหม่ที่ชื่อว่า “Ricochet” ซึ่งตัวเกมก็จะยังคงมีการนำเข้าเนื้อหาไปเป็นส่วนหนึ่งของเกม Call of Duty: Warzone เช่นเดียวกับเกมในภาค Call of Duty: Black Ops Cold War
และในเกมภาคนี้โหมดการเล่น Zombies ก็จะกลับมาอีกครั้งโดยได้ทาง Treyarch มาร่วมพัฒนา ซึ่งโหมดการเล่นนี้จะมีเนื้อหาเปรียบเสมือนเป็นส่วนเสริมของเรื่องราว “Dark Aether” ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องหลักของโหมด Zombies และยังเป็นเนื้อหาปฐมบทของเนื้อหา Zombies ในเกม Call of Duty: Black Ops Cold War อีกด้วย โดยตัวเกมยังมาพร้อมกับโหมดการเล่นใหม่ “Der Anfang” ที่จะเป็นการนำเอาเกมการเล่นแบบอิงรอบตามแบบฉบับดั้งเดิมมาผสมผสานเข้ากับโหมดการเล่นแบบอิงภารกิจอย่าง Outbreak และ Onslaught อีกด้วย
Call of Duty: Vanguard จะวางจำหน่ายลงให้กับทั้ง PlayStation 5, Xbox Series X|S, PlayStation 4, Xbox One, และ PC ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2021