ความน่าสนใจของ Scarlet Nexus คือการที่มันเป็นผลงานการออกแบบของทีมงานมือเก๋าที่คร่ำหวอดในวงการพัฒนาเกมจากทางฝั่งญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน พวกเขาคือผู้สร้างเกมที่อยู่เบื้องหลังเกมสวมบทบาทในตระกูล ‘Tales of’ และมันก็อาจจะถึงเวลาแล้วก็เป็นได้ ในการที่จะเปลี่ยนมุมมองของเกมแอ็กชันสวมบทบาทจากญี่ปุ่นที่มีต่อชาวโลกให้แตกต่างออกไปจากเดิม
เคนจิ อะนาบูกิ (Kenji Anabuki) เป็นหนึ่งในทีมงานจากทาง Bandai Namco Studios ที่เคยมีผลงานในการออกแบบเกมอย่าง Tales of Vesperia, Tales of Abyss และ Tales of Symphonia มาแล้ว ซึ่งใน Scarlet Nexus ที่เขาได้มาทำหน้าที่เป็นผู้กำกับมันก็เรียกได้ว่าเป็นผลงานที่มีความแตกต่างไปจากผลงานก่อนหน้าของเขาเป็นอย่างมาก ด้วยการที่เขาและทีมงานได้ถอยห่างจากความเป็นแฟนตาซีมาเป็นเรื่องราวในแนวไซไฟสุดล้ำและยังมาพร้อมกับระบบเกมการเล่นที่มีความแตกต่าง แต่ก็ยังคงอิงรากฐานจากประสบการณ์ที่พวกเขาได้สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปี
“สิ่งหนึ่งที่เราคิดมาตลอดก็คือการนำเอาวิธีการใช้พลัง ‘ซูเปอร์พาวเวอร์’ มาเป็นแกนหลักของเกมครับ ซึ่งเราไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย เพราะในเกมแนวแฟนตาซีเราสามารถที่จะใช้ ‘เวทมนตร์’ ได้ แต่ด้วยการที่มันต้องเข้ากับฉากหลังที่เป็นโลกอนาคตเราเลยตัดสินใจที่จะมาใช้พลังซูเปอร์พาท้องฟ้าวอร์แทนที่นั่นเองครับ ซึ่งเรายังต้องการให้ผู้เล่นรู้สึกว่ามันคือเกมใหม่อย่างหมดจดอีกด้วย”
คนพลังจิต
และมันก็ได้ทำให้ฉากหลังของเกม Scarlet Nexus มีความแตกต่างไปจากผลงานก่อนๆ ที่เราเคยได้เห็นมาในตระกูล ‘Tales of’ โดยใน Scarlet Nexus เมืองนิวฮิมูกะ (New Himuka) จะเป็นพื้นหลังของเรื่องราวทั้งหมดในเกม มันคือเมืองญีุ่ปุ่นแห่งโลกอนาคต และมันก็ยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องแต่งจากวัฒนธรรมตะวันตกพอๆ กับแอนิเมชันคลาสสิคหลายเรื่อง
“ในโลกของ Scarlet Nexus มันคือช่วงเวลาที่มนุษย์ได้มีพัฒนาการพลังของสมองไปไกลมากครับ ในโลกปัจจุบันของเราพวกคุณจะเห็นได้ว่าผู้คนมักจะใช้นิ้วมือและเสียงในการปฏิสัมพันธ์กับอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ แต่ใน Scarlet Nexus ผู้คนจะเริ่มใช้สมองในการควบคุมมันได้แล้วตัวอย่างเช่น โฆษณาและแบนเนอร์ที่เป็นโฮโลแกรมบนท้องถนน มันคือการส่งข้อมูลเข้าไปยังสมองโดยตรงเพื่อให้เราได้เห็นภาพเลย”
สิ่งที่ทำให้พัฒนาการด้านพลังของสมองก้าวไกลไปกว่าเดิม ก็คือการที่มันได้มีการค้นพบฮอร์โมนพลังจิตที่อยู่ในสมองของมนุษย์ และมันก็ทำให้ผู้คนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังแฝงแอบซ่อนอยู่ในตัว แต่ในขณะที่มนุษยชาติกำลังพัฒนาความสามารถใหม่ ศัตรูลึกลับก็ได้มาปรากฏตัวขึ้น มันถูกเรียกขานในนาม Other มนุษย์กลายพันธุ์ที่ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า เพื่อตามล่าหาสมองของมนุษย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่ซ่อนเร้นอยู่นั่นเอง
หลายคนอาจจะคุ้นชื่อกับธีมโลกแบบไซไฟ ‘Cyberpunk’ แต่ Bandai Namco Studios ก็ต้องการเรียกโลกในเกม Scarlet Nexus ในแบบฉบับของพวกเขาเองในชื่อ “Brain Punk future” หรือก็คือยุคสมัยที่มนุษยชาติกำลังลุ่มหลงระหว่างเทคโนโลยีและพลังจิต และเพื่อต่อต้านภัยรุกรานอันลึกลับพวกเขาก็ได้รวมตัวเหล่าผู้มีพลังจิตอันแรงกล้าเพื่อมาต่อสู้ในนามของ Other Suppression Force โดยในเกมผู้เล่นจะได้รับบทเป็น ยูอิโตะ ซูเมรางิ สมาชิกใหม่ของหน่วยที่มีพลัง ‘ไซโคคิเนซิส’ (Psychokinesis) หรือพลังจิตที่สามารถใช้ในการขยับเคลื่อนไหวสิ่งของต่างๆ ได้ด้วยสมองของเขานั่นเอง
แม้ Scarlet Nexus จะมีฉากหน้าคล้ายเกมแนวแอ็กชันแบบ ‘Hack and slash’ แต่ตัวเกมมันก็จะยังคงมีสมดุลของความเป็นเกมแนวสวมบทบาท (RPG) ผสมผสานเข้าไปในระบบการเล่น ซึ่งมันก็คือการนำเอาระบบการต่อสู้ของเกมในตระกูล Tales of มาต่อยอดให้มีความฉับไวมากขึ้นและยังมีการนำเอาลูกเล่นของพลังเหนือธรรมชาติเข้ามาผนวกอีกด้วย
“ทั้งสองเกมมันมีความเป็นเกมแนวสวมบทบาทและเกมแนวแอ็กชันครับ ซึ่งเราก็ได้นำเอาประสบการณ์ที่เราได้รับมาจากการพัฒนาเกมซีรีส์ Tales of มาใช้ในการสร้าง Scarlet Nexus ด้วย ที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือวิธีการหลบหลีกของระบบการต่อสู้, การพัฒนาตัวละคร, ระบบความก้าวหน้า (Progression) , และการสร้างสมดุลระหว่างเนื้อเรื่องและเกมการเล่น”
โลกคืออาวุธ
และด้วยพลังของ ยูอิโตะ มันจึงทำให้โลกของเกมเองก็กลายเป็นอาวุธได้ด้วย โดยองค์ประกอบต่างๆ ที่อยู่ตามสภาพแวดล้อมจะสามารถยกขึ้นมาทำลายได้ หรือจะใช้มันเพื่อเหวี่ยงเข้าใส่ศัตรูในการผสานกับคอมโบการโจมตีเป็นวงกว้างก็ได้ โดยองค์ประกอบหรือวัตถุที่ว่านี้ก็จะมีทั้งเล็กและใหญ่และมีความหลากหลายมากๆ ไล่ไปตั้งแต่เสาร์โทรศัพท์, ตู้ไปรษณีย์ รถยนต์ ไปจนถึงรถไฟที่กำลังเคลื่อนที่อยู่เลยทีเดียว
ในส่วนของระบบการต่อสู้ทาง อะนาบูกิ ได้บอกว่าพวกเขาได้มีการออกแบบโดยมีแก่นหลักสองอย่างที่ทางทีมงานได้นำมายึดเหนี่ยวเอาไว้เสมอ “อย่างแรกคือมันคือการที่มันต้องเป็นเกมที่ผู้เล่นสัมผัสได้ถึงพลังไซโคคิเนซิสที่อยู่ในตัวของ ยูอิโตะ โดยวัตถุต่างๆ ที่ผู้เล่นสามารถใช้พลังจิตหยิบยกได้ จะมีความแตกต่างเรื่องระยะเวลาในการกดปุ่มค้างลงไปซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของวัตถุนั้นๆ และสำหรับวัตถุบางชนิดปุ่มควบคุมก็จะเคลื่อนไหวพ้องกับการเคลื่อนไหวของวัตถุด้วย ซึ่งการขยับท่าทางของตัวละครในขณะที่ทำการหยิบจับวัตถุโดยพลังจิตนั้นยังขึ้นอยู่กับสถานที่ที่วัตถุนั้นๆ อยู่อีกด้วย พวกเราได้ลงแรงไปเป็นอย่างมากเลยครับในการให้ทำให้ผู้เล่นสัมผัสได้ถึงความสมจริงของการใช้พลังไซโคคิสในการโจมตีระหว่างทำการต่อสู้”
อย่างที่สองก็คือการที่ทีมงานต้องการสร้างระบบการต่อสู้ที่มีสมดุลกันระหว่างการใช้พลังจิตและการต่อสู้ด้วยอาวุธรูปแบบดั้งเดิม ซึ่งมันจะต้องให้ผู้เล่นสามารถทดลองอะไรใหม่ๆ ได้ด้วย และนั่นก็ทำให้ Scarlet Nexus ต้องมีศัตรูหลากหลายชนิดเพื่อมาให้ผู้เล่นได้ทดสอบระบบของตัวเกมนั่นเอง
“เราคิดว่า Scarlet Nexus มันคือเกมแนวแอ็กชันสวมบทบาท ซึ่งมันต้องมอบความรู้สึกพึงพอใจของการต่อสู้ระยะประชิดให้กับผู้เล่น และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือมันมีการโจมตีด้วยพลังจิต พร้อมๆ ไปกับการโจมตีด้วยอาวุธปกติ ทั้งสองอย่างนี้ได้สร้างสูตรสำเร็จที่มีเอกลักษณ์มากๆ ให้กับ Scarlet Nexus ซึ่งหากพวกคุณคุ้นเคยกับระบบการต่อสู้เมื่อไหร่มันก็จะทำให้เกมมีความเท่มากๆ ทีเดียว”
อีกสิ่งหนึ่งที่ทีมงานได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ก็คือน้ำหนักของระบบการต่อสู้ที่มีความสมจริงและไม่เพียงแค่เท่เท่านั้น แต่มันยังต้องลดความซับซ้อนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อีกด้วย “ในส่วนของระบบการต่อสู้นะครับ ผู้เล่นจะความสามารถพลังไซโคคิเนซิสของ ยูอิโตะ ได้ด้วยการกดปุ่มตามลำดับง่ายๆ ซึ่งเกมเริ่มสร้างปฏิสัมพันธ์กับวัตถุต่างๆ โดยรอบ ในการที่จะนำมันมาใช้เพื่อโจมตีใส่ศัตรูได้ทันที และมันก็ยังให้ประสบการณ์ใหม่ในการเขวี้ยงเหวี่ยงวัตถุต่างๆ ในการต่อสู้เพื่อบดขยี้ศัตรูอีกด้วยครับ”
Scarlet Nexus ยังเป็นเกมที่เน้นหนักไปที่การต่อสู้แบบมีสไตล์ มันมาพร้อมกับศัตรูหลากหลายชนิดที่จะเข้าโจมตีใส่ตัวของ ยูอิโตะ อย่างรวดเร็วและก้าวร้าว และในการที่จะเอาชีวิตรอดจากมันผู้เล่นก็จำเป็นที่จะต้องใช้งานการจู่โจมด้วยอาวุธปกติและพลังจิตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในเกมนั้นผู้เล่นยังสามารถใช้พลัง ‘ไซโคคิเนติก’ (Psychokinetic) โจมตีเข้าใส่ศัตรูโดยตรงได้อีกด้วย ซึ่งมันเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ทีมงานยังไม่ได้เปิดเผยออกมาให้เราได้ชมในตอนนี้
ทาง Bandai Namco ยังไม่มีการปล่อยกำหนดการวางจำหน่ายของ Scarlet Nexus ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่มันคือเกมที่สร้างมาเพื่อลงให้กับทั้งเครื่อง PlayStation 5, Xbox Series X และ PC ในขณะที่ก็ยังจะลงให้กับเครื่องเกมอย่าง PlayStation 4 และ Xbox One ด้วย แต่ตัวเกมที่ลงให้กับเครื่องเกมรุ่นใหม่นั้นมันจะได้รับการปรับแต่งเพื่อให้ใช้ประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์ของตัวเครื่องได้อย่างเต็มที่อย่างแน่นอน
“ต้องขอบคุณพลังการประมวลผลของฮาร์ดแวร์ที่อยู่ในเครื่องเกมยุคหน้าเลยครับที่ทำให้ตัวเกมสามารถมีเฟรมเรตที่สูงได้ ในขณะที่มันก็ยังรองรับกับการประมวลผลของตัวละครที่จะมาปรากฏตัวให้ได้เห็นในแบบที่เราต้องมาเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีระยะเวลาในการโหลดที่สั้นกว่าเดิมเป็นอย่างมากอีกด้วยซึ่งมันจะทำให้ผู้เล่นไปสัมผัสกับประสบการณ์ดำดิ่งในการเล่นเกมอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยทีเดียว”