เป็นเวลาร่วม 7 ปีที่ The Last of Us ได้ออกวางจำหน่าย มันได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมเกมด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ลุ่มลึกและได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าวิดีโอเกมเป็นศาสตร์ที่อยู่เหนือการเป็นเพียงสื่อที่ให้ความบันเทิงเพียงอย่างเดียวไปแล้ว และในปีนี้ The Last of Us Part II ก็จะมาสานต่อความแนวทางอันเป็นแก่นของทีมงาน Naughty Dog ให้เราได้สัมผัสกันอีกครั้งด้วยวัยวุฒิที่มากขึ้น ทั้งเหล่าตัวละครในเกมและผู้เล่น รวมถึงโลกภายในเกมและทีมพัฒนา Naughty Dog ที่ได้เติบโตขึ้นด้วย
First Idea
“มันเป็นตอนที่ผมได้เข้าไปพูดคุยกับ แอชลี่ย์ จอห์นสัน (Ashley Johnson) นักแสดงผู้รับบท เอลลี่ และเสนอไอเดียสำหรับการสร้าง Left Behind (ส่วนเสริมของ The Last of Us) ให้เธอได้ฟังครับ” นีล ดรัคแมน (Neil Druckmann) ผู้กำกับของ The Last of Us ได้เล่าถึงไอเดียเริ่มแรกที่เป็นตัวจุดประกายให้เขาเริ่มต้นสร้าง The Last of Us Part II ให้เราได้ฟังจากการให้สัมภาษณ์กับ PlayStation.Blog “ในตอนที่ผมกำลังเล่าให้เธอฟังผมยังได้บอกกับเธออีกด้วยว่า ผมกำลังมีไอเดียอีกอย่างที่กำลังอยากทำอยู่ด้วย ผมก็เล่าไอเดียนั้นให้เธอฟัง และมันทำเธอก็ร้องไห้ออกมากลางร้านอาหารเลยจนทำให้ผมอดระแวงไม่ได้ว่าคนอื่นเขาจะมองว่าทำกำลังทำอะไรแย่ๆ อยู่เหรอเปล่า แต่นั่นแหละเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมมั่นใจว่าผมมีไอเดียที่แข็งแรงมากๆ แล้ว”
ในช่วงต้นปี 2013 ในตอนนั้น นีล ดรัคแมน ได้วางเรื่องราวของ The Last of Us Part II เอาไว้เพียงแค่ช่วงเริ่มต้น ช่วงกลาง และตอนจบเอาไว้ในหัวของเขาเท่านั้น แต่สุดท้ายสิ่งที่เขาได้วางแผนเอาไว้ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงตลอดการพัฒนาที่ผ่านมา “นั่นแหละครับคือจุดเริ่มต้นของมัน มันคือการหว่านไอเดียออกไป จากนั้นคุณก็จะชักนำผู้คนให้มาร่วมมือได้มากขึ้น ซึ่งมันก็ได้กลายเป็นการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันในท้ายที่สุดครับ” นีล ดรัคแมน เล่า “วิดีโอเกมคือสื่อที่ต้องมีการร่วมมือกัน และเราก็ได้มุ่งหน้ามาพร้อมกันด้วยไอเดียที่เราอยากทำเพียงหนึ่งเดียว”
Coming of Sequel
The Last of Us Part II เล่าเรื่องราวห้าปีหลังจากที่ เอลลี่ และ โจเอล หลบหนีมาจากกลุ่ม Fireflies และเป็นเหตุการณ์หลังจากที่ โจเอล เลือกตัดสินใจไม่มอบชีวิตของ เอลลี่ ให้กับความหวังของมนุษยชาติในการค้นหาวิธีการในผลิตวัคซีนที่สามารถต่อต้านการกลายพันธุ์จากเชื้อรามรณะที่ทำให้โลกล่มสลาย ซึ่งในเกมภาคนี้ผู้เล่นจะได้มารับบทเป็น เอลลี่ เป็นหลัก เธอได้เติบโตขึ้นท่ามกลางโลกอันแสนรกร้างและความเจ็บปวด เอลลี่ ใน The Last of Us Part II ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว
“ผมคิดว่าเธอเริ่มที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเองจริงๆ” นีล ดรัคแมน เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงไปของ เอลลี่ ใน The Last of Us Part II หลังจากที่เธอได้เดินทางร่วมกับ โจเอล มาและต้องแบกรับความรับผิดชอบบางอย่างที่เธอไม่ได้เป็นคนเลือก “ในเกมภาคแรกเธอพยายามค้นหาใครสักคนที่เธอคิดว่าจะเป็นที่พึ่งให้เธอได้” นีล ดรัคแมน เล่า “เธอเล่าให้ โจเอล ฟังว่า ‘ทุกคนที่เธอรู้จักต่างตายจากและทิ้งเธอไปยกเว้นแต่คุณเท่านั้น’ เธอก็เลยผูกพันกับ โจเอล มากๆ ครับ”
แต่ความสัมพันธ์ระหว่าง เอลลี่ และ โจเอล ก็เหมือนคนห่างไกลในเรื่องราวช่วงแรกของ The Last of US Part II เธอได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองแจ็กสัน, ไวโอมิง ที่แห่งนั้นทำให้เธอได้พบปะและสร้างความสัมพันธ์กับเหล่าผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ และได้เติบโตมาด้วยกันกับผู้คนเหล่านั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา
“ดีน่า กลายเป็นเพื่อสนิทของเธอเป็นเวลาหลายปี” นีล ดรัคแมน เล่า “ทั้งสองหยอกเย้าไปพร้อมกับคนอื่นๆ แต่ เอลลี่ ก็ไม่รู้ถึงจุดยืนของความเป็นเด็กสาว ซึ่งเราเองก็จะได้เห็นว่า ดีน่า เองก็มีความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับ เอลลี่ เช่นกัน” ความสัมพันธ์ของทั้งสองเหมือนกลายเป็นเรื่องปกติในโลกที่ล่มสลาย แต่ความสัมพันธ์นั้นก็ไม่สามารถอยู่ได้ไปชั่วกาล เหตุการณ์อันเลวร้ายบางอย่างได้จุดประกายความบ้าคลั่งให้กับ เอลลี่ ในการออกเดินทางเพื่อตามล้างแค้นให้สาสมใจ
“เอลลี่ ต้องการความถูกต้องด้วยการนำผู้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาชดใช้ความยุติธรรม แม้ว่าเธอจะต้องเดินหน้าไปเพียงลำพังก็ตาม”
New Enemy
เกมภาคต่อหลายเกมมักมาพร้อมกับความท้าทายใหม่ๆ เช่นเดียวกับ The Last of Us Part II ที่ทาง Naughty Dog เองก็ไม่รอช้าที่จะส่งศัตรูรูปแบบใหม่มาให้ผู้เล่นได้หวาดผวา พวกมันคือเหล่าผู้ติดเชื้อที่ถูกเรียกว่า “Shambler” พวกมันคือการกลายพันธุ์อันน่าสยดสยองที่พร้อมพ่นละอองพิษเข้าใส่ใครก็ตามที่ย่างกรายเข้าไปใกล้พวกมัน
“ในเกมภาคแรกมันจะมีเอกสารที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับลำดับขั้นของการติดเชื้อใช่มั้ยครับ” นีล ดรัคแมน เล่า “มาในตอนนี้เราต้องมาชี้ชัดแล้วว่าทำไมมันถึงต้องมีลำดับขั้นของการติดเชื้อที่แตกต่างกัน ทำไมพวกมันถึงได้กลายพันธุ์มาเป็นแบบนี้ได้ล่ะ? โดยที่ไม่ได้ผ่านขั้นตอนอื่นๆ มันมีเรื่องของสภาพแวดล้อมที่เข้ามาเกี่ยวข้องครับและก็เรื่องของเวลาด้วยที่เมื่อผ่านไปมันก็จะทำให้การกลายพันธุ์ในรูปแบบนี้เกิดขึ้น” ซึ่งนอกจาก Shambler จะมีที่มาที่ไปแล้วมันยังสร้างความระทึกในรูปแบบใหม่ให้กับผู้เล่นอีกด้วยในการต่อสู้
“เรามี Runner ที่สามารถย่นระยะห่างระหว่างตัวคุณกับพวกมันได้อย่างรวดเร็ว” นีล ดรัคแมน อธิบาย “เรามี Clicker ที่เชื่องช้าแต่สามารถฆ่าคุณตายได้ทันที Shambler มาพร้อมกับพื้นที่การโจมตีที่เป็นวงกว้างมากขึ้น พวกมันถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกกรดที่จะแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวมัน มันจะแผดเผาผิวหนังของคุณซึ่งก็อย่างที่เห็นในตัวอย่างนั่นแหละครับพวกมันส่วนใหญ่ก็อยู่กันโดยลำพัง แต่สิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจยิ่งขึ้นก็คือการที่ม่านหมอกเหล่านั้นสามารถทำร้ายตัวคุณได้เมื่อคุณเดินเข้าไป และมันยังบดบังทัศนวิสัยของคุณในขณะที่ Runner สามารถวิ่งตรงผ่านเข้ามาได้ มันผสมผสานได้อย่างน่าสนใจจริงๆ”
Grounded Experience
การสร้างประสบการณ์ที่ขึงขังและยึดติดกับความเป็นจริงคือวิสัยทัศน์ที่เป็นเสาหลักของทีมงาน Naughty Dog และใน The Last of Us Part II พวกเขาก็ยังคงยึดมั่นในหลักการเช่นที่ผ่านมา แต่ยังได้ขยายรูปแบบของเกมการเล่นด้วยการมอบตัวเลือกที่หลากหลายให้กับ เอลลี่ ทั้งระบบการปรับแต่งอาวุธ, ความสามารถใหม่ๆ และความคล่องแคล่วที่มากขึ้น
“แน่นอนครับว่าเราไล่ล่าหาประสบการณ์ที่ยึดติดกับความเป็นจริง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันต้องอิงจากสิ่งที่มีอยู่จริงๆ ไปเสียหมด” นีล ดรัคแมน อธิบาย “อย่างแรกเลยครับ คุณไม่มีทางสร้างปุ่มสำหรับการทำทุกสิ่งอย่างในชีวิตจริงได้ ปุ่มของคุณถูกจำกัดด้วยจำนวนปุ่มบนคอนโทรลเลอร์ แล้วเราจะสร้างระบบและสุนทรียศาสตร์ที่ให้ความรู้สึกยึดติดกับความเป็นจริงได้ยังไงล่ะ? แน่ล่ะว่า เอลลี่ ไม่สามารถฆ่าคนเป็นโหลอย่างที่เห็นในตัวอย่างได้ในชีวิตจริง แต่เราจำเป็นต้องสร้างความตึงเครียด และความตึงเครียดเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าปริมาณกองศพที่สมจริง”
“เช่นเดียวกับระบบอื่นๆ ครับ ถ้าคุณมีอาวุธที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้และต้องพึ่งพามัน” นีล ดรัคแมน อธิบายต่อ “คุณต้องทำความสะอาดมันต้องดูแลมัน ดังนั้นเราเลยได้สร้างระบบและสุนทรียศาสตร์ที่ตอบสนองกับสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา เราได้ทำให้มุมกล้องซูมเข้าไปเพื่อแสดงให้คุณได้เห็นว่าเธอมีวิธีการอย่างไรในการปรับปรุงอาวุธเหล่านั้น และทำให้คุณรู้สึกเชื่อมโยงถึงเธอที่อยู่กับเครื่องมือแห่งความตายเหล่านั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการในการเอาตัวรอดในโลกที่เธอกำลังอาศัยอยู่”
Morality of violence
นอกจากนี้ทาง Naughty Dog ยังได้มอบความท้าทายให้กับผู้เล่นไปอีกขั้น ด้วยกลไกการเล่นใหม่ที่คาดหวังการตอบสนองจากผู้เล่นในเชิงศีลธรรมและอารมณ์ “สุนัขคือกลวิธีในการวิวัฒนาการศัตรูที่เป็นมนุษย์ด้วยการที่พวกมันสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่น อันนี้พูดจริงๆ นะครับ” นีล ดรัคแมน อธิบายต่อ “พวกมันสามารถดมกลิ่นได้ และในตอนที่ เอลลี่ เคลื่อนที่ไปรอบๆ เธอก็จะทิ้งกลิ่นเอาไว้ตามทางซึ่งจะจางหายเมื่อเวลาผ่านไปครับ แต่ถ้าเจ้าสุนัขดมกลิ่นเจอเมื่อไหร่มันก็จะสามารถค้นหาตัวคุณได้ทันทีไม่ว่าคุณจะแอบซ่อนอยู่ที่ไหนก็ตาม ซึ่งเป็นวิธีการที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ แต่หากคุณฆ่าสุนัขที่เจอคุณ มันจะทำให้คุณรู้สึกแย่เสียยิ่งกว่าการฆ่ามนุษย์เสียอีก”
การต่อสู้กับสุนัขเป็นหนึ่งในตัวอย่างของอีกหลายๆ สิ่งที่ Naugty Dog ได้เพิ่มเติมเข้ามาใน The Last of Us Part II ที่จะทำให้เกมเต็มไปด้วยความหนักแน่นและมืดหม่น และสิ่งที่เกมให้ความใส่ใจเป็นอย่างมากก็คือการสร้างอารมณ์ร่วมไปกับผู้เล่นโดยการขยับขยายความรู้สึกเหล่านั้นไปยังศัตรูที่เป็นมนุษย์
“เราต้องการพูดถึงความรุนแรงที่มีความสมจริงเท่าที่เราจะสามารถทำได้ในเกมแอ็กชัน” นีล ดรัคแมน อธิบาย “หนึ่งในนั้นคือการที่ศัตรูที่เป็นมนุษย์ทุกคนในเกมจะมีชื่อของแต่ละคนเช่น โอมาร์ หรือ โจเอล” ซึ่งการทำในสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ทีมงาน Naugty Dog ทำกันเป็นปกติ “มันงานที่ต้องลงทุนลงแรงไปมากเลยครับ และเทคโนโลยีอย่างเดียวก็คงช่วยได้ไม่มาก เพราะมันต้องใช้การลงทุนไปกับส่วนของการบันทึกเสียงอย่างมาก ทั้งวิธีการสื่อการของพวกเขาที่ต้องมีความซับซ้อน ซึ่งเราต้องการทำให้คุณได้รู้สึกว่ามันไม่ใช่ NPC หรือเป็นเพียงแค่สิ่งกีดขวางที่ไร้สมอง”
ตัวอย่างเช่นถ้าคุณจัดการกับศัตรู เพื่อนของเขาก็จะกรีดร้องชื่อของสหายด้วยความเศร้าโศก พวกมันถูกอารมณ์เข้าครอบงำ พวกเขาสามารถกลายเป็นศัตรูที่บ้าคลั่งและจะเริ่มต่อสู้ด้วยวิธีการที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งมันได้ผสานเข้ากับความโหดเหี้ยมอำมหิตที่ยังคงไว้ซึ่งประสบการณ์ที่สามารถเป็นไปได้จริงอีกด้วย
“ความคิดของคุณจะถูกปลุกปั่นด้วยวิธีการที่น่าสนใจมากๆ ในตลอดการเดินทางที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันยอดเยี่ยม และนั่นคือสิ่งที่กำลังไล่ล่าเพื่อให้ได้มันมา” คุณ Druckman กล่าว
Naughty Dog ต้องการให้ผู้เล่นได้รับรู้ถึงผลลัพธ์ที่ตามจากการกระทำของ เอลลี่ ที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้นต่อให้ผู้เล่นจะพยายามหลีกเลี่ยงการนองเลือดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะมันคือสิ่งสำคัญของเรื่องราวของ The Last of Us Part II “เราต้องการให้ผู้คนเห็นผลลัพธ์ที่ตามมาครับ คุณสามารถถูกพบเจอ เข้าสู่การต่อสู้และหลบหนีได้โดยไม่จำเป็นต้องเคลียร์พื้นที่ก็จริง” นีล ดรัคแมน เล่า “แม้เราจะต้องการให้มันมีวิธีการที่มากขึ้นที่ทำให้คุณสามารถหายตัวได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ท้าทายและยากมากๆ ครับ แต่มันก็เป็นไปได้ที่จะหลบหนีออกจากพื้นที่ แต่หลังจากนั้นมันก็จะมีสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้คุณต้องการที่จะเข้าปะทะ เราต้องการให้คุณมีส่วนร่วมไปกับการกระทำเหล่านั้นที่จะทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ แต่มันคือส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องครับ และเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางของ เอลลี่ ด้วย”
แต่อย่างไรก็ดีการหลบหนีจากการต่อสู้นั้นก็จะไม่ทำให้ผู้เล่นพลาดสิ่งต่างๆ ที่น่าสนใจในฉากไปอย่างแน่นอน “อย่างที่คุณได้เห็นใน Uncharted 4 และ The Lost Legacy ครับเราได้มีการทดลองบางอย่างด้วยการวางเลย์เอาต์ที่มีความกว้างมากขึ้น” คุณ Druckmann อธิบาย “นั่นคือสิ่งที่เราได้นำมันมาใช้กับเกมๆ นี้ครับ และเรายังใช้มันในการสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวภายในเกมด้วย ในตอนที่เราต้องการให้ความตึงเครียดมันลดลง เราต้องการให้คุณมีเวลาได้คิดว่า ‘ฉันจะทำอะไรต่อดีล่ะ? ฉันควรจะออกสำรวจที่นี่หรือเปล่า’ นั่นแหละครับคือสิ่งที่เราต้องการ”
Push The Limit
The Last of Us ภาคแรกคือการแสดงให้เห็นถึงขีดสุดความสามารถของเครื่อง PlayStation 3 เท่าที่มันจะสามารถทำได้ และการกลับมาอีกครั้งด้วยเครื่อง PlayStation 4 ในช่วงปลายท้ายสุดของชีวิตก็ทำให้มันคือสามารถแสดงจุดสุดยอดของเทคโนโลยีในยุคนี้ออกมาได้เช่นกัน “มันเหมือนกับ The Last of Us แหละครับ เราได้มาถึงขีดจำกัดแล้วทั้งในส่วนของหน่วยความจำ, พลังในการประมวลผล, จำนวนของศัตรูที่จะปรากฏอยู่บนหน้าจอ และขนาดของฉากในแต่ละฉาก” นีล ดรัคแมน อธิบาย “ในตอนนี้เราสามารถมีสภาพแวดล้อมที่กว้างขวางขึ้นกว่าเดิมได้ เรามีฉากฝูงเหล่าผู้ติดเชื้อ มีฉากกองกำลังของศัตรูที่ออกตามล่าคุณ”
“เช่นเดียวกัน เอลลี่ เองก็มีการทำระบบแอนิเมชันใหม่ที่เรียกว่า ‘motion mapping’ ด้วย ไม่ใช่แค่ เอลลี่ แต่เป็นทุกตัวละครในเกม มันทำให้การเคลื่อนไหวสามารถตอบสนองได้ดีกว่าที่เคยและมันก็ยังมีความสมจริงที่มากขึ้นไปพร้อมกันอีกด้วย ผมคิดว่า เอลลี่ น่าจะเป็นหนึ่งในการควบคุมที่สามารถมองผ่านการกระทำด้วยมุมมองบุคคลที่สามที่ดีที่สุดในตอนนี้”
“ยิ่งเราสามารถตรวจจับการกล้ามเนื้อของใบหน้าและการเคลื่อนไหวได้แม่นยำเท่าไหร่ มันก็ทำให้เราแปลงสิ่งที่นักแสดงกระทำในฉากเข้ามาสู่เกมได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น มันยังทำให้มีความแตกต่างที่ขึ้นอยู่กับวิธีการของแต่ละคนทั้งการกะพริบตาและการมองในระหว่างการสนทนา และมันยังทำให้การเขียนบทสามารถสร้างความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ได้อย่างไม่เคยมีมาก่อนอีกด้วย
“เราได้ร่วมเดินทางกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้วในการสร้างเกมๆ นี้ขึ้นมา” นีล ดรัคแมน เล่า “เรารู้ว่าเราไม่ค่อยได้ออกมาพูดถึงมันมากนัก และเราก็รู้ว่าเราทำให้แฟนๆ ของพวกเราและผู้คนในชุมชน PlayStation ตั้งตารอคอยด้วยแรงสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลัง พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับพวกเราได้เป็นอย่างดีเลยครับ แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่รู้สึกได้”
“เรากำลังวิ่งเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว และเราก็ตื่นเต้นมากๆ ในการที่จะสร้างเกมนี้ให้เสร็จสิ้น เราปกปิดอะไรหลายเอาไว้ครับจากสิ่งที่เราได้แสดงออกไป แม้แต่จากความคิดเห็นของเหล่าผู้คนที่ได้ลองสัมผัสตัวเดโมของเกม เรายังได้เอาเรื่องราวออกจากตัวอย่างที่ได้ปล่อยออกไปอีกด้วย เราเฝ้าระวังเป็นอย่างมากในการที่จะไม่สปอยล์เรื่องราว และนั่นทำให้เรื่องราวของเกมเป็นสิ่งพิเศษ มันมีทั้งการหักมุมและจุดเปลี่ยนของเรื่องราวที่อยู่ในนั้น ซึ่งเราก็รอแทบไม่ไหวแล้วที่จะให้พวกเขาได้เล่นมัน”
The Last of Us Part II จะวางจำหน่ายใน 19 มิถุนายนนี้เฉพาะ PlayStation 4 เท่านั้น