ประวัติศาสตร์การ’เลื่อน’ที่ยาวนานที่สุดในวงการเกม

“มันเป็นเวลา 2077 วันแล้วนับตั้งแต่ที่เราได้มีการประกาศแผนการของเราในการพัฒนาเกม Cyberpunk 2077” นั่นคือข้อความที่ทาง CD PROJEKT RED ได้ส่งตรงถึงบรรดาแฟนๆ ที่ล้วนรอคอยเกมของพวกเขา ในวันที่ตัวอย่างใหม่ของเกมได้ปรากฏโฉมในงาน E3 2018 ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้เคยแสดงตัวอย่างแรกของเกมเมื่อปี 2013 มันเป็นเวลาร่วม 6 ปีเข้าไปแล้วที่เราต่างรอคอย และก็ดูท่าว่าเราน่าจะตัองรอคอยกันต่อไป อาจจะอีกหนึ่งถึงสองปีนับจากนี้ เราถึงจะได้เห็น Cyberpunk 2077 ออกมาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

แต่ในการรอคอยอันแสนยาวนานเช่นนี้ มันก็ไม่ได้เคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะในประวัติศาสตร์ของวงการอุตสาหกรรมเกม มันก็เต็มไปด้วยการประกาศ ‘เลื่อน’ การวางจำหน่ายมากมายที่ซึ่งในบางครั้งมันก็ดูจะเป็นการเลื่อนที่ไร้ที่สิ้นสุดจนเราไม่อาจคาดคิดได้เลยว่า ท้ายที่สุดแล้วตลอดเวลาในการพัฒนาอันแสนยาวนาน เกมที่เคยเปิดตัวจะออกมาเป็นเกมแบบไหนกันเมื่อผ่านยุคสมัยของวงการเกมที่แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา และในประวัติศาสตร์ของการเลื่อนมันมีเกมอะไรกันบ้างล่ะ?

Final Fantasy XV, 2006-2016

FFXV

ปี 2006 นับได้ว่าเป็นปีที่แฟรนไชส์เกม RPG ชื่อดังอย่าง Final Fantasy ยังเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจได้อย่างที่เคยเป็นได้เสมอมาในวงการเกม และในปีนั้นมันก็เป็นการเปิดตัวของเกมภาคใหม่อย่าง Final Fantasy XIII และมันยังเป็นเกมสำหรับเครื่องเกมยุคใหม่ในตอนนั้นอย่าง PlayStation 3 และ Xbox 360 เป็นเกมแรกอีกด้วย แต่สิ่งที่ทำให้มันมีความน่าตื่นเต้นยิ่งไปกว่าที่เคยก็คือมันมาพร้อมกับการเปิดจักรวาลใหม่ของ Final Fantasy ที่ชื่อว่า ‘Fabula Nova Crystallis‘ พร้อมยังทั้งเปิดตัวเกมแนวแอ็กชัน RPG อย่าง Final Fantasy XIII Versus มาเคียงข้าง และยังรวมไปถึง Final Fantasy Agito XIII เกมภาคแยกสำหรับเครื่องพกพาอย่าง PlayStation Portable อีกด้วย

แต่ด้วยกระแสที่ไปได้ไม่ค่อยจะสวยนักสำหรับ Final Fantasy XIII ก็ทำให้ทาง Square Enix ดูเหมือนจะตัดสินใจยุบจักรวาล Fabula Nova Crystallis ของพวกเขาทิ้ง แม้ Final Fantasy Agito XIII จะได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น Final Fantasy Type-0 และได้ออกวางจำหน่ายในปี 2011 หลังจากการเปิดตัวเป็นเวลาถึง 5 ปี แต่ข่าวคราวของ Final Fantasy XIII versus ก็ดูจะเงียบหายไปราวกับว่ามันไม่เคยมีเกมๆ นี้อยู่บนโลก

จนมาในปี 2013 ที่ทาง Square Enix ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการว่า Final Fantasy XIII Versus นั้นได้ตายจากสารระบบของ Fabula Nova Crystallis แล้วอย่างเป็นทางการ และมันก็จะกลายเป็นเกมใหม่ที่ชื่อว่า Final Fantasy XV ซึ่งหมายถึงว่ามันจะเป็นเกมภาคหลักภาคใหม่แทนที่ ด้วยคอนเซปต์และแนวคิดเดิมของภาค Versus นั่นเอง แต่หลังจากนั้นมันก็เพียงข้อมูลอันเล็กน้อยมาเป็นเวลาร่วมหลายปีและผ่านการเลื่อนวางจำหน่ายมาหลายครั้งหลายครา แต่สุดท้ายในปี 2016 มันก็ได้ออกวางจำหน่ายในวาระครบรอบ 10 นับตั้งแต่มีการเปิดตัวครั้งแรกพอดิบพอดี

Too Human, 1999-2008

too human

หนึ่งในเกมที่กลายเป็นตำนานแห่งการเลื่อนที่เป็นที่น่าจดจำก็คงจะหนีไม่พ้นเกมอย่างแอ็กชันอย่าง Too Human ที่เพิ่มประกาศการพัฒนาในปี 1999 เพื่อลงให้กับเครื่องเกม PlayStation Too Human วางแผนจะเป็นเกมแนว Sci-fi ในโลกอนาคตอันไกลโพ้น โดยจะมาพร้อมกับชั่วโมงการเล่นที่ยาวนานถึง 90 ชั่วโมงบรรจุลงใน CD-ROMs ถึง 4 แผ่น และจะยังมีระบบการปรับแต่งตัวละคร รวมไปถึงฉาก Cinematic ที่ยาวถึง 60 นาทีอีกด้วย แต่แล้วการพัฒนาเกม Too Human ที่ดูจะเป็นโปรเจกต์อันแสนทะเยอทะยานนี้ของทางทีมพัฒนา Silicon Knights ก็หยุดลงกลางคันด้วยการมาของค่ายเกมที่ชื่อว่า Nintendo

และการมาของ Nintendo ก็ทำให้เกม Too Human ต้องเบนเข็มจากการพัฒนาลงให้กับเครื่อง PlayStation ของทาง Sony ไปเป็นเครื่อง Gamecube เครื่องเกมคอนโซลตัวใหม่ของทาง Nintendo แทน แต่แล้วหลังจากนั้นร่วม 5 ปีเราก็แทบที่จะไม่ได้เห็นข่าวคราวของเกมๆ นี้อีกเลย และในช่วงตลอดเวลาที่ผ่านมาทาง Silicon Knights ก็ได้ไปทำงานในโปรเจกต์อื่นๆ ที่ลงให้กับเครื่อง Gamecube อีกด้วยที่ไม่ว่าจะเป็น Eternal Darkness: Sanity’ s Requiem และ Metal Gear Solid: The Twin Snakes จนกระทั่งวันหนึ่งที่ทาง Microsoft ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ Silicon Knights ในปี 2005 เกม Too Human ก็ได้ปรากฏโฉมขึ้นมาอีกครั้ง และก็กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในฐานะของเกมสำหรับเครื่องคอนโซลยุคใหม่อย่าง Xbox 360 และไม่ได้มาเพียงภาคเดียวแต่ยังจะมาถึง 3 ภาคเป็นเกมไตรภาคอีกด้วย

แต่แล้วด้วยการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีตลอดช่วงระยะเวลา 9 ปีของการพัฒนาจนถึงวันวางจำหน่ายในปี 2008 Too Human ภาคแรก (ซึ่งไม่มีภาคต่อ) ก็กลายเป็นเกมตกยุค และกลายเป็นเกมดาดๆ ที่ไม่มีใครอยากที่จะกล่าวถึงมันอีกและมันยังแทบจะเป็นเกมคนละเกมกับที่ได้มีการเปิดตัวไว้ในตอนแรกอีกด้วย แต่ถึงมันจะย่ำแย่และไม่ควรค่าจะหามาเล่น ทางทีมงาน Silicon Knights ก็ยังยืนยันว่าพวกเขาจะยังคงทำเกมให้ครบไตรภาคอย่างแน่นอน

แต่แล้วก็เป็นทาง Epic Games ที่มาดับฝันอันยิ่งใหญ่ของทีมงาน Silicon Knights หลังจากที่พวกเขาพบว่าทาง Silicon Knights แอบนำเอา Unreal Engine ไปดัดแปลงและใช้งานโดยมิได้รับอนุญาต จนเรื่องใหญ่โตจนถึงขันขึ้นโรงขึ้นศาลและสุดท้ายก็กลายเป็นทีมงาน Silicon Knights ที่กลายเป็นผู้พ่ายแพ้ และยังได้ถูกคำสั่งศาลให้ทำลายเกมและผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่ทางทีมงานนำเอาโค้ดของ Unreal Engine ไปใช้งานและยังส่งผลไปให้เกม Too Human ถูกห้ามวางจำหน่ายและถูกถอดออกจากหน้าร้านค้าออนไลน์ต่างๆ จนในปี 2014 ที่ผ่านมาทาง Silicon Knights ก็กลายเป็นสตูดิโอพัฒนาเกมที่ล้มละลายไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

The Last Guardian, 2007-2016

Ico และ Shadow of the Colossus คือสองเกมที่สร้างชื่อให้กับทีมพัฒนาอย่าง Team Ico โดยเฉพาะเกมหลังอย่าง Shadow of the Colossus ที่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในตำนานเกมของเครื่อง PlayStation 2 ที่มาพร้อมกับการนำเสนอการเล่าเรื่องที่แปลกแหวกแนวโดยไม่มีเกมไหนเหมือน และยังมาพร้อมกับภาพกราฟิกที่สวยงามที่สุดเท่าที่เครื่องเกมในยุคนั้นจะทำได้

และมันจึงทำให้ทาง Sony ตัดสินใจปล่อยไฟเขียวให้กับทีมงาน Team Ico ในการสร้างเกมใหม่ด้วยทุนสร้างที่มากขึ้น และด้วยเทคโนโลยีของเครื่องเกมยุคใหม่อย่าง PlayStation 3 และผลลัพธ์ที่ได้มานั้นก็คือเกม The Last Guardian ที่ได้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในงาน E3 2009 ที่ยังมาพร้อมกับภาพกราฟิกอันน่าตื่นตะลึงจนใครๆ ที่ได้ชมต่างก็ล้วนคิดว่า ด้วยเทคโนโลยีเกมในยุคนั้น มันไม่น่าที่จะทำออกมาได้จริง ซึ่งในตอนที่เปิดตัวเกมก็ได้ทำการพัฒนามาแล้วเป็นเวลาถึง 2 ปี และมันก็ประสบปัญหาอย่างที่หลายคนคิด เพราะแม้ทางผู้กำกับของเกมอย่าง Fumito Ueda จะยังคงยึดมั่นในแนวคิดที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเจ้าสัตว์ยักษ์ที่ปรากฏให้เห็นในตัวอย่างมากขนาดไหน แต่ความจริงที่ว่าเครื่องเกมในยุคนั้นยังไม่สามารถสร้างภาพกราฟิกได้อย่างที่เห็นในตัวอย่าง มันก็ยังเป็นความจริงอยู่ดี

แม้ในตัวอย่างแรกของเกมมันจะเป็นการรันบนเครื่องเกม PlayStation 3 แต่ทางคุณ Ueda ก็ได้ออกมายืนยันในภายหลังแล้วว่าในตอนนั้นมันเกมเรนเดอร์ภาพกราฟิกได้โดยมีเฟรมเรตเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของที่เราได้เห็นในตัวอย่างเท่านั้น และมันก็ได้ถูกนำมาเพิ่มความเร็วด้วยกรรมวิธีของการตัดต่อแทนเพื่อให้มันออกมาดูปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เวลาหลายปีที่ทางทีมงานพยายามปรับแต่งเพื่อให้มันมีเฟรมเรตเพียงพอเพื่อที่จะให้เกมสามารถเล่นได้ แต่สุดท้ายแล้ว มันก็กลายเป็นความล้มเหลวของทีมงาน Team Ico อย่างสิ้นเชิง แม้แต่ Gameplay Demo ที่ทางทีมงานสัญญาไว้ว่าจะปล่อยออกมาก็ยังไม่ได้เห็น และทาง Fumito Ueda ก็ได้สละเรือลาออกจากทีมพัฒนาและทาง Sony ในเวลาต่อมา ปล่อยให้เกม The Last Guardian รอคอยอย่างเท้งเต้งและไม่ได้กลับมาปรากฏให้เห็นในงานเกมต่างๆ เป็นเวลาหลายปี แต่อย่างไรก็ดีทางผู้บริหารระดับสูงของทาง Sony ก็ยังคงยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าเกมยังคงพัฒนาอยู่อย่างแน่นอน

จนมาถึงปี 2015 The Last Guardian ก็ได้ปรากฏโฉมกลับมาอีกครั้ง และมันก็ไม่ได้มาพร้อมภาพกราฟิกที่ก้าวกระโดดไปกว่าในตอนที่มันเปิดตัวเป็นครั้งแรก พร้อมด้วยการประกาศวันวางจำหน่ายในเดือนธันวาคม 2016 ที่แม้จะได้ออกวางจำหน่ายบนเครื่องเกมยุคใหม่อย่าง PlayStation 4 เกมก็ยังคงไว้ซึ่งปัญหาทางด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการแสดงผลของเกมอยู่ดี แต่อย่างไรก็ดีมันก็ยังคงความเป็นเกมของ Team Ico ในแบบฉบับที่มันควรจะเป็น ด้วยวิสัยทัศน์ของ Fumito Ueda ที่มีอายุอานามมานานถึง 9 ปีตลอดช่วงของการพัฒนา

Grimoire: Heralds of the Winged Exemplar, 1997-2017

Grimoire Heralds of the Winged Exemplar

Grimoire: Heralds of the Winged Exemplar อาจเป็นเกมที่ไม่คุ้นหูมากนัก และก็ไม่แปลกอะไรหากท่านผู้อ่านไม่เคยได้ยินชื่อของมันมาก่อน เพราะ Grimoire: Heralds of the Winged Exemplar คือเกมอันสุดแสนทะเยอทะยานของนักพัฒนาเกมเพียงคนเดียว ที่ต้องการจะเสนอเกมในรูปแบบ Classic RPG ในแบบถึงแก่นแท้ ที่ทำให้เกมใช้เวลาถึง 20 ปีในการพัฒนา

โดยเกมเป็นผลงานของ Cleveland Mark Blakemore อดีตโปรแกรมเมอร์จาก Sir-Tech Software ผู้จัดจำหน่ายเกมแนวสวมบทบาทยอดนิยมในสมัยนั้นอย่าง Wizardry โดยหลังจากที่ภาคสุดท้ายของเกมในซีรีส์อย่าง Stones of Arnhem ถูกยกเลิกการสร้างไปทางคุณ Cleveland Mark Blakemore ก็ได้หันมาสร้างเกมของเขาเองแทบจะในทันที ผลลัพธ์ที่ได้คือเกมที่ชื่อ Grimoire: Heralds of the Winged Exemplar ที่ได้เปิดตัวในปี 1997 และมีแผนที่จะออกวางจำหน่ายภายในปีนั้น แต่แล้วมันก็ไม่ได้ออกมาตามกำหนด จนในปี 1998 เกมก็ได้เปิดให้ผู้เล่นได้เข้าไปทดสอบในช่วง Beta กันอีกครั้ง ก่อนที่จะหายลับไปจนกระทั่งมาถึงปี 2013 ที่อยู่ๆ เกมๆ นี้ก็กลับมาปรากฏโฉมบนเว็บไซต์ระดมทุนอย่าง indiegogo ซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือโปรเจกต์ไปเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ของจำนวน 250,000 เหรียญที่ตั้งเอาไว้เท่านั้น และเกมยังมีแผนที่จะออกวางจำหน่ายภายในปีนั้นอีกด้วย แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เกมได้หายตัวเข้ากลีบเมฆไปอย่างลึกลับจนกระทั่งในปี 2017 เกมก็ได้ถูกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการบน Steam ด้วยคำโปรยที่ว่า “เกมแนวสวมบทบาทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้พร้อมสำหรับทุกคนแล้ว

Grimoire: Heralds of the Winged Exemplar มาพร้อมกับคำโอ้อวดว่ามีเนื้อหาในเกมให้เล่นถึง 600 ชั่วโมง และเกมก็ไม่มีคู่มือประกอบการเล่นออกมาแต่อย่างใด ในขณะที่ยังมีระบบการปรับแต่ตัวละครที่ลึกมากๆ และยังมีสถานที่มากมายให้สำรวจ บางทีในช่วงตลอด 20 ปีที่ผ่านมานั้น เราอาจจะได้เห็นอะไรดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในเกมอันแสนซับซ้อนเกมนี้ที่ยากจะเล่นก็เป็นได้

Star Fox 2, 1993-2017

Star Fox 2

ย้อนกลับไปยังปี 1992 เกม Star Fox 2 คือหนึ่งในเหยื่ออันแสนโชคร้ายอันเป็นผลพวงมาจากวัฏจักรการเปลี่ยนผ่านของเครื่องเกมคอนโซล เพราะในยุคสมัยนั้นเกมได้มีเป้าหมายอันสุดแสนทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก ด้วยการที่เกมจะมีระบบการสุ่มเลเวลในทุกๆ ครั้งที่ผู้เล่นเข้าไปเล่น และยังมาพร้อมกับองค์ประกอบของเกมวางแผนกลยุทธ์แบบ Real-time เท่าที่เทคโนโลยีของเครื่อง SNES และชิป Super FX ที่เคยใช้ในเกม Yoshi’s Island จะสามารถสร้างขึ้นมาได้ แต่ Star Fox 2 นั้นก็อาจเรียกได้ไม่เต็มปากว่าเป็นการเลื่อนเสียทีเดียว เพราะแท้จริงแล้วมันก็เป็นเกมที่มีการพัฒนาเสร็จสิ้นในเวลาที่มันถูกกำหนด แต่กว่าที่เราจะได้เล่นกันมันก็เป็นเวลาถึง 25 ปีให้หลังนับจากวันที่มันเปิดตัว

โดยสาเหตุที่ Star Fox 2 ไม่ได้ออกวางจำหน่ายเพราะกำหนดการวางจำหน่ายของมันคือช่วงปลายท้ายสุดของเครื่อง SNES และยังเป็นช่วงการเปลี่ยนผ่านการแสดงผลทางด้านกราฟิกของเกมไปเป็นเกมแนว 3D อย่างเต็มตัวด้วยการมาของเครื่องเกมอย่าง Sega Saturn และ PlayStation จึงทำให้ทาง Nintendo ตัดสินใจไม่ออกวางจำหน่ายเกม Star Fox 2 เพราะความเกรงกลัวที่แฟนๆ เกมจะนำเอาเกมของพวกเขาไปเปรียบเทียบกับเกมยุคใหม่ และทางคุณ Shigeru Miyamoto เองก็อยากที่จะให้ Star Fox กลับมาเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่พร้อมด้วยเทคโนโลยีของเครื่อง Nintendo 64 ที่ทาง Nintendo กำลังพัฒนาอยู่มากกว่านั่นเอง

แต่หากมันไม่ได้ออกวางจำหน่าย มันก็คงไม่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของเกมที่ถูกเลื่อนยาวนานที่สุดในวงการเกม เพราะในการวางจำหน่ายเครื่องเกม SNES Classic เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมามันก็ได้มาพร้อมกับ Star Fox 2 เวอร์ชันเต็มๆ มาให้เล่นกันด้วย

Doom, 2008-2016

doom

John Carmack บิดาของเกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่งผู้ให้กำเนิดเกม Doom ได้กล่าวเอาไว้เมื่อปี 2008 ว่า Doom 4 จะออกมาดูดีกว่า Rage ที่เป็นผลงานก่อนหน้าของเขาและทีมงาน id Software อย่างแน่นอน แนะก็อาจนับได้ว่ามันคือการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการครั้งแรกว่าเกม Doom ภาคต่อนั้นกำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาแล้ว และหากดูจากผลลัพธ์ในตอนที่เกมได้ออกวางจำหน่าย 8 ปีให้หลังนับตั้งแต่มีการประกาศสร้าง สิ่งที่ John Carmack พูดก็ถูกต้องเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

Doom 4 กลายเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่กำลังจะสูญเสียตัวตนของมันไปอย่างสมบูรณ์ นับตั้งแต่ Doom 3 ที่เคยเป็นความพยายามของทีมงาน id Software ในการสร้างให้กลายเป็นเกมยิงสยองขวัญ Doom 4 เลยขอพลิกแนวอีกครั้งด้วยการมาพร้อมกับการยัดฉาก Cinematic มาใส่ในเกมแบบเต็มๆ และยังมาพร้อมกับสคริปต์ตามฉากอันสุดแสนอลังการตามแบบอย่าง Call of Duty 4: Modern Warfare ที่ได้ออกวางจำหน่ายในปีก่อนหน้าอีกด้วย แม้จะฟังดูเหมือนสูตรสำเร็จของเกมที่ออกวางจำหน่ายในระยะนั้น แต่สุดท้ายแล้วด้วยขวัญกำลังใจของทีมงานที่เริ่มถดถอยไปเพราะการสร้างเกมที่ไม่อยากสร้าง และทิศทางของการพัฒนาที่เปลี่ยนไปเพราะหัวหอกหลักของทีมสร้างอยากจะรีบูตก็ทำให้ Doom 4 กลายเป็นเกม Doom ที่เปลี่ยนไปโดยแทบไม่มีเค้าเดิมของมันเลย

และมันก็ตามมาด้วยหนึ่งคำถามว่า Doom ฉบับรีบูตควรจะเป็นเกมแบบไหน หนึ่งในหัวหน้าของทีมสร้างได้เคยบอกเอาไว้ว่า “Doom 4 สามารถยิ่งใหญ่ได้เทียบเท่าเกมอย่าง Skyrim” แต่ในขณะเดียวกัน John Carmack เองก็ได้บอกว่าอันที่จริงแล้ว “Doom หมายถึงสิ่งของสิ่งอย่างนั้นคือ อสูรร้ายและปืนลูกซอง

Doom 4 ยังคงเป็น Doom 4 มาจนถึงปี 2014 ที่เกมได้ปล่อยทีเซอร์แรกออกมา แต่แล้วสุดท้ายมันก็กลายเป็น Doom ร่างสุดท้ายที่ออกวางจำหน่ายในปี 2016 อย่างที่เราได้เห็น และมันก็เป็นการรีบูตย้อนกลับไปยังรากของความเป็น Doom อย่างแท้จริง ที่มาพร้อมกับเรื่องราวของจักรวาลบทใหม่ที่น่าสน และเกมเพลย์ที่ดุเดือดเลือดพล่านจนควรค่ากับการที่มันได้มีภาคต่ออย่าง Doom: Eternal ที่จะมาพร้อมกับความโหดระห่ำที่ยิ่งกว่าที่เคย

อ่านเรื่องราวของ Doom Eternal ต่อได้ที่: Doom Eternal Preview ศิลปะมหาประลัย

Duke Nukem Forever, 1997-2011

Duke Nukem Forever

เป็นหนึ่งในเกมที่เกือบทำให้แฟนๆ ต้องรอคอยกันอย่าง Forever ตามชื่อสำหรับ Duke Nukem Forever ผลงานเกมภาคต่อของ 3D Realms หลังจากออกวางจำหน่ายเกม Duke Nukem 3D ไปในปี 1996 พร้อมด้วยความสำเร็จในระดับปรากฏการณ์ มันก็ทำให้ทาง 3D Realms แทบที่จะไม่ต้องใช้เวลานานมากนักในการตัดสินใจสร้างภาคต่อของมันออกมาโดยหมายมั่นจะสร้างให้เสร็จทันในปี 1998 พร้อมด้วยการขยับอัปเกรดกราฟิกของเกมให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้นไปด้วยการเปลี่ยนมาใช้เอนจิน Quake II ของทาง id Software ทั้งยังได้ปล่อยภาพนิ่งของเกมอันสุดแสนจะเหลือเชื่อออกมาให้เหล่าแฟนๆ ได้ชมกันก่อนที่พวกเขาจะได้รับโค้ดของตัวซอฟต์แวร์เอนจินมาทำการพัฒนาเกมเสียอีก

และมันก็เป็นไปตามที่หลายคนคาดว่าเกม Duke Nukem Forever ไม่สามารถออกวางจำหน่ายได้ทันตามกำหนดการในปี 1998 แต่นั่นก็หาได้หยุดยั้งความทะเยอทะยานของทีมงาน 3D Realms ไม่ เพราะหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้ทำการเปลี่ยนซอฟต์แวร์เอนจินของเกมไปใช้ Unreal Engine ของทาง Epic Games ซึ่งกลายเป็นทำให้การพัฒนาเกมในช่วงเวลานั้นมีความเชื่องช้าเป็นอย่างมาก แม้จะมีการปล่อยวิดีโอและภาพนิ่งของเกมออกมาให้แฟนๆ ได้หายคิดถึงเป็นระยะๆ แต่มันก็ไม่ได้มีกำหนดการออกวางจำหน่ายออกมาแต่อย่างใด จนกระทั่งในปี 2004 เป็นเวลา 7 ปีนับตั้งแต่ที่เกมได้มีการประกาศเปิดตัวออกมาเป็นครั้ง มันก็ได้มีรายงานออกมาว่าตัวเกม Duke Nukem Forever นั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงเอนจินของเกมอีกแล้วหลังจากที่เกมอย่าง Doom 3 ได้เปิดตัวออกมาด้วยเทคโนโลยีกราฟิกที่ก้าวล้ำในยุคนั้น แต่อย่างไรก็ดีทางทีมงาน 3D Realms ก็ได้ออกมาปฏิเสธข่าวที่ว่านี้ในภายหลังว่ามันไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และตลอดเวลา 7 ปีที่ผ่านมาทางหัวหน้าของทีมพัฒนาเกมก็ได้ใช้เงินในการพัฒนาเกมๆ นี้ไปแล้วหลายล้านเหรียญสหรัฐ โดยแลกมาซึ่งความคืบหน้าในการพัฒนาเพียงแค่นิดเดียว

และในปี 2009 ทาง Take-Two Interactive ผู้จัดจำหน่ายเกมก็ได้ยื่นเรื่องฟ้องร้องทีมพัฒนา 3D Realms ที่ไม่สามารถสร้างเกมออกมาได้เสร็จตามที่กำหนด แม้จะมีการยอมความแล้วต่อกันในภายหลัง แต่สิทธิ์ในการพัฒนาเกม Duke Nukem Forever ก็ได้ตกมาอยู่ในมือของ Geabox Software แทนที่ในปี 2010 เป็นเวลา 14 ปีนับตั้งแต่ที่เกมเปิดตัว และในที่สุดแล้ว Duke Nukem Forever ก็ได้ออกมาสู่ทองตลาดในปี 2011 หลังจากที่ได้ปล่อยให้แฟนๆ รอคอยมาเป็นเวลา 15 ปี และมันก็ได้ทำการปิดตำนานของกระชายนาย Duke ไปอย่าง Forever ด้วยคุณภาพเกมที่ย่ำแย่จนเรียกได้ว่าไม่ออกมาเสียจะดีกว่า

Kingdom Hearts III, 2013-2019

Kingdom Hearts 3

ในทางเทคนิคแล้วแม้แต่ในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมาสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับ Kingdom Hearts III นั้นเรียกได้ว่าแทบจะมีน้อยมาก นับตั้งแต่ที่มันได้ปล่อยตัวอย่างแรกของเกมออกมาในปี 2013 ซึ่งเป็นภาคต่อหลักที่ทิ้งช่วงจากภาคก่อนหน้าที่ออกจำหน่ายไปเมื่อปี 2005 มาอย่างยาวนาน และในการเปิดตัวครั้งนั้นมันก็แทบจะทำให้แฟนๆ เกมของซีรีส์นี้แทบที่จะเลิกรอเพราะมันคือการกลับมาอีกครั้งของคุณ Tetsuya Nomura ผู้สร้างตำนานเกมเลื่อนที่เราได้กล่าวถึงไปแล้วอย่าง Final Fantasy XIII Versus นั่นเอง

ก่อนที่เกมจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการคุณ Tetsuya Nomura ได้เคยออกมาให้สัมภาษณ์หลายครั้งหลายครามากว่าเขายังไม่สามารถที่จะมาให้ความสำคัญกับเกม Kingdom Hearts ได้หากโปรเจกต์เกมที่เขากำลังสร้างอยู่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งโปรเจกต์ที่ว่านั้นก็คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากมันคือเกม Final Fantasy XIII Versus แต่แล้วมันก่อนที่เกมจะทันเปลี่ยนชื่อมาเป็น Final Fantasy XV คุณ Tetsuya Nomura ก็ได้สละเรือหนีมากำกับ Kingdom Hearts III แทนไปเสียอย่างนั้นพร้อมทั้งยังประกาศเปิดตัวการสร้างภาครีเมกของเกม Final Fantasy VII อีกเกมที่จวบจนปัจจุบันเราก็ยังแทบไม่เห็นความคืบหน้า ปล่อยให้ Final Fantasy XV ลอยเท้งเต้งจนกลายเป็นคุณ Hajime Tabata ที่เข้ามารับไม้ต่อจนกลายเป็น Final Fantasy XV และต้องทนเสียงก่นด่าของแฟนเกมไปแทนที่ในตอนที่มันได้ออกวางจำหน่าย ในขณะที่ต้นตอเจ้าของเรื่องแอบหายเงียบไปสร้าง Kingdom Hearts III ที่ในที่สุดหลังจากรอคอยกันมานานร่วม 6 ปีเกมก็มีกำหนดการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 25 มกราคมนี้

Beyond Good And Evil 2, 2008-???

GameSpot

ก่อนที่ Beyond Good And Evil 2 จะได้กลับมาเปิดตัวอีกครั้งโดยนักแสดงอย่าง Joseph Gordon-Levitt ในงาน E3 2018 และได้กลายไปเป็นโปรเจกต์ในการระดมความคิดสร้างสรรค์ภายใต้ชื่อโครงการ Space Monkey Program เกมภาคต่อเกมนี้ได้เคยมีการปล่อยตัวอย่างของเกมออกมาในปี 2008 โดยมิได้มีรายละเอียดอันไดนอกจากเป็นการบอกใบ้โดยทาง Ubisoft ว่าพวกเขากำลังพัฒนาเกมๆ นี้อยู่ และก็น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่ภายหลังจากวันนั้นเป็นเวลา 9 ปีทาง Ubisoft ก็ดูเหมือนจะทำเป็นลืมว่ามีเกมๆ นี้อยู่ด้วยการปล่อยเทรลเลอร์ตัวเดิมออกมาให้เราชมกันอีกรอบ

ไม่มีใครที่จะรู้ได้ถึงสาเหตุว่าทำเกมถึงได้ถูกหยุดการพัฒนามาร่วมทศวรรษ โดยทางผู้กำกับของเกมอย่างคุณ Michel Ancel เองก็ดูจะไม่ได้สนใจเกมๆ นี้มากนักเพราะในตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเขาก็ง่วนอยู่กับหลากหลายโปรเจกต์เกมของทาง Ubisoft และหนึ่งในนั้นก็คือเกม Rayman ภาครีบูตนั่นเอง แต่สุดท้ายแล้วในงาน E3 2017 ทาง Ubisoft ได้นำเอาตัวอย่างของเกมมาแสดงให้เราได้ชมกันอีกรอบ คุณ Ancel ก็ได้กลับมาอีกครั้ง ทั้งยังบอกอีกด้วยว่าเกม Beyond Good And Evil 2 นั้นเรียกได้ว่ามันแทบจะแตกต่างไปจากเกมที่เราไม่เคยได้เห็นในตอนที่มันเปิดตัวเมื่อทศวรรษที่ผ่านมาเป็นอย่างมากทีเดียว และจวบจนทุกวันนี้แม้จะมีการปล่อยเกมเพลย์ของเกมออกมาบ้างแล้ว แต่เราก็ยังคงไม่รู้ถึงกำหนดการออกวางจำหน่ายของเกมกันอยู่ดี

Star Citizen, 2012-???

star citizen

ใครจะไปคาดคิดได้ว่าเกมที่ยังไม่ออกวางจำหน่ายจะสามารถขายไอเทมในเกมได้ในราคาสูงถึง 27,000 เหรียญ ที่เป็นค่ายานอวกาศในโลกสมมติ กับเกมที่เรียกได้ว่ามีการระดมทุนจากเหล่าแฟนเกมบนเว็บไซต์ Kickstarter สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์อย่าง Star Citizen นั่นเอง ที่แรกเริ่มเดิมทีแล้วมันคือความต้องการในการกลับมาสานต่อเกมยานอวกาศอย่าง Wing Commander ของคุณ Chris Roberts แต่แล้วมันก็กลายเป็นความสำเร็จจากการระดมทุนที่ทำให้มันไปไกลกว่าที่หลายคนคิด และคุณ Chris Roberts ก็ยังมาพร้อมกับโครงการอันสุดแสนอลังการเกินกว่าที่เราจะเชื่อได้ว่ามันจะกลายเป็นจริงได้ในเร็ววัน

โดยตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา Star Citizen แทบไม่เคยปล่อยคอนเทนต์ของเกมออกมาทันเวลาเลย และเมื่อไม่นานมานี้พวกเขาก็ได้เปลี่ยนเอนจิน (คุ้นๆ มั้ยครับ) ของเกมอย่าง CryEngine มาเป็น Lumberyard Engine ของทาง Amazon แทนแล้วหลังจากที่มีเรื่องฟ้องร้องกับทาง Crytek เจ้าของ CryEngine ที่ได้กล่าวหาว่าทางทีมพัฒนาเกม Star Citizen ได้นำเอาโค้ดเอนจินของพวกเขาไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาต (คุ้นๆ อีกไหมครับ) แต่อย่างไรก็ดีเกมยังได้มีการปล่อยเกมในเวอร์ชัน Beta, โมดูลและเดโมต่างๆ ให้กับเหล่านักลงทุนได้ทดลองเล่นกันอย่างต่อเนื่อง

แม้เกมจะยังไม่ได้ออกวางจำหน่ายแต่ทางทีมงานก็ได้สรรหาวิธีการในการระดมทุนสร้างเกมมากให้มากยิ่งขึ้นได้อย่างแยบคายด้วยการวางจำหน่ายชุดแพ็กของยานอวกาศที่ผู้เล่นสามารถนำไปใช้ในเกมได้ รวมไปถึงการเปิดสัมปทานที่ดินทั้งบนดาวที่มีในเกมแล้ว และที่ยังไม่มีให้ผู้ที่สนใจใช้เงินจริงเข้าไปจับจองพื้นที่ในโลกเสมือนของเกมได้อีกด้วย และด้วยแนวคิดในการระดมทุนอันสุดแสนจะพิลึกพิลั่นนี้ มันก็ทำให้ในตอนนี้เกมได้รับเงินทุนในการพัฒนาทั้งหมดกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐโดยที่ยังไม่มีวี่แววว่ามันจะมีการชะลอตัวลงแต่อย่างใด เช่นเดียวกับกำหนดการแล้วเสร็จของเกมที่ดูจะขยายออกไปตามจำนวนเงินที่มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

From Final Fantasy to Star Citizen, The Longest Waits In Gaming History
The death and rebirth of Duke Nukem Forever: a history
Star Fox 2 is strange, daring, and an important piece of game history
Here’s what Doom looked like when it was called Doom 4

Share this article
0
Share
0 Share
0 Tweet
0 Share
0 Share
Shareable URL
0
Share