Tom Clancy’s The Division 2 คือเกมยิง Co-op ภาคต่อของทางทีมพัฒนา Massive Entertainment ที่จะออกวางจำหน่ายในปีหน้า และมันก็ยังเป็นผลงานที่สร้างขึ้นด้วยแนวคิดในการแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ ที่ได้เคยเกิดขึ้นในเกมภาคแรก พร้อมทั้งยังเป็นการถมจุดบอดด้วยความสนุกและลูกเล่นต่างๆ เพื่อที่จะเป็นการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของเกมในแฟรนไชส์นี้ ที่พวกเขาต้องการให้มันไปได้ไกลมากกว่าเดิม
และสิ่งหนึ่งที่เกมจะมีการปรับปรุงมากขึ้นกว่าเกมในภาคแรกนั้นก็คือระบบอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่จะมีความละเอียดในการปรับแต่งและเลือกใช้งานที่มีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งตัวเกมนั้นก็จะมาพร้อมกับอาวุธหลายชนิด, ไอเทมพิเศษ (Exotics), ลูกระเบิด, ความสามารถพิเศษ (Talents) และ อุปกรณ์ในการตกแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งเราก็จะมาดูกันว่าในระบบต่างๆ นั้นมันจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเกมภาคต้นฉบับมากขนาดไหน
Weapons
ระบบอาวุธต่างๆ ใน The Division 2 จะยังคงแบ่งประเภทเช่นเดียวกับเกมในภาคต้นฉบับ แต่ในภาคนี้มันจะทำการเพิ่มอาวุธประเภท Rifles มาให้ผู้เล่นได้เลือกใช้ ซึ่งรวมแล้วทั้งหมดในเกมมันก็จะมีอาวุธถึง 7 ประเภทด้วยกันอันได้แก่:
- Assault Rifles
- Marksman Rifles
- Submachine Guns
- Shotguns
- Light Machine Guns
- Pistols
- Rifles
โดยอาวุธแต่ละประเภทก็จะมาพร้อมกับค่าสถิติต่างๆ ที่อยู่บนพื้นฐานเดียวกันทั้งค่าความสามารถในการสร้างความเสียหาย (Damage), รอบการยิงต่อนาที, ความเร็วในการบรรจุกระสุน, ค่าความแม่นยำ, ค่าความมั่นคงขณะทำการยิง และความสามารถพิเศษ (Talents) ของอาวุธชนิดนั้นๆ
แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในภาคนี้ก็คือมันจะเพิ่มระยะการทำความเสียหายที่อิงกับระยะทางขึ้นมาด้วย (Damage Drop Off) ซึ่งมันก็จะทำให้อาวุธแต่ละประเภทนั้นก็จะมีระยะทำการที่แตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกับระบบความมั่นคงขณะทำการเล็งยิง (Stability) ที่จะได้รับการยกเครื่องใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ประสบการณ์ในการเล็งยิงนั้นมีความสมจริง และมีความน่าสนใจมากขึ้น เช่นเดียวกับระบบแรงกระแทกของปืน (Recoil) ที่จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเกมภาคแรกเช่นกัน ซึ่งมันก็จะทำให้ปืนทุกๆ กระบอกมีลักษณะจำเพาะและมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน
โดยปืนในหมวดหมู่ Rifles จะมีทั้งปืนแบบ Semi-Automatic และ Burst-Fire โดยเหตุผลที่ทางทีมงานได้เพิ่มอาวุธชนิดนี้เข้ามาก็เพื่อที่จะสร้างสมดุลของตัวเกมให้มากยิ่งขึ้น ในเกม The Division ภาคแรกมันจะมีปืน Rifle หลายรูปแบบแต่ทั้งหมดจะถูกจัดกลุ่มอยู่ในหมวด Assault Rifle และ Marksman Rifle เท่านั้น แต่ใน The Division 2 ก็จะมีการเพิ่มหมวดหมู่ที่ 3 ของปืน Rifle เข้ามา ซึ่งทางทีมงานได้อธิบายเอาไว้ว่า เพื่อที่จะให้อาวุธในรูปแบบ Semi-Automatic และ Burst-Fire นั้นมีโบนัสและความสามารถที่เกี่ยวข้องกับปืนในรูปแบบนี้มากขึ้น และเพื่อเพิ่มตัวเลือกให้กับผู้เล่นในการเลือกใช้งานอาวุธที่หลากหลายมากขึ้นไปด้วย
Exotic
Exotic หรืออาวุธพิเศษ คือหนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ใน The Division 2 ซึ่งทางทีมงานนั้นตั้งเป้าไว้ว่า มันจะต้องเป็นอาวุธที่มีความพิเศษแตกต่างไปจากอาวุธชนิดอื่นๆ จริงๆ โดยเฉพาะในด้านรูปลักษณ์ของมันที่จะต้องมีความโดดเด่นจากอาวุธที่เป็นต้นแบบดั้งเดิม แต่มันก็จะมีลักษณะในอย่างที่ควรจะเป็น และยังมีเรื่องราวปูมหลังที่จะเป็นส่วนหนึ่งไปกับเรื่องราวในเกมอีกด้วย
Grenade
ระบบลูกระเบิดก็จะได้รับการปรับปรุงใน The Division 2 โดยในเกมต้นฉบับนั้นมันจะมีระเบิด 6 ชนิดให้ผู้เล่นได้เลือกใช้ แต่ในเกมภาคนี้ระเบิดที่เราจะสามารถเลือกใช้ได้นั้น จะขึ้นอยู่กับสาขาความเชี่ยวชาญ (Specialization) ที่เราได้เลือก ซึ่งสาขาเหล่านี้ก็จะปลดล็อกเมื่อเราเล่นจนถึงเลเวล 30 ในเกมเท่านั้น และในระหว่างช่วงเลเวล 1-29 นั้นมันก็จะมีระเบิด Concussion เพียงอย่างเดียวให้เลือกใช้ แต่เมื่อเราสามารถปลดทักษะความเชี่ยวชาญได้แล้วเกมก็จะเพิ่มลูกระเบิดที่แบ่งประเภทลูกระเบิดไปตามทักษะของเราอันได้แก่:
- Flashbang grenade – Sharpshooter
- Incendiary grenade – Demolitionist
- Frag grenade – Survivalist
ซึ่งเมื่อเราเล่นจนถึงเลเวล 30 แล้วเราก็ยังสามารถใช้งานระเบิด Concussion ได้อยู่เช่นเดิม พร้อมด้วยระเบิดชนิดใหม่ที่ขึ้นอยู่กับทักษะความเชี่ยวชาญของผู้เล่น ซึ่งเกมก็เปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถปรับเปลี่ยน Specialization ได้แต่หากผู้เล่นปรับเปลี่ยนไปแล้วลูกระเบิดที่ผู้เล่นพกพาก็จะเปลี่ยนชนิดไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้เล่นไม่สามารถพกทั้งระเบิด Frag และ Incendiary ได้ในคราวเดียว
โดยสาเหตุที่ทางทีมงานจำกัดการใช้ลูกระเบิดให้ขึ้นอยู่กับทักษะเฉพาะตัวเอาไว้ เพราะพวกเขาต้องการให้ระเบิดมีประโยชน์และเป็นไอเทมที่ทรงพลังในการต่อสู้จริงๆ และมันก็จะต้องไม่เป็นส่วนสำคัญมากนักในบรรดาคลังอาวุธของผู้เล่น ที่มีตัวเลือกในการสร้างความเสียหายได้มากมาย แต่มันก็จะทำให้การใช้งานในแต่ละครั้ง ทั้งการต่อสู้กับศัตรูที่เป็น AI หรือศัตรูที่เป็นผู้เล่นด้วยกัน จะต้องมีการตรึกตรองก่อนใช้งานให้ดียิ่งขึ้น
และด้วยการที่มันอิงกับระบบ Specialization มันก็ยังช่วยให้การเผชิญหน้ากับศัตรู มีกลไกในการเล่นที่มีความลึกมากยิ่งขึ้น เพราะผู้เล่นจะต้องรวมทีมกัน และก็จะต้องดูด้วยว่ากิจกรรมต่างๆ ที่ผู้เล่นสามารถเลือกทำได้ไม่ว่าจะเป็น Raid, Mission หรือ PVP นั้นทีมแบบไหนและลูกระเบิดชนิดไหนถึงจะมีความเหมาะสม
Mods
Mods หรืออุปกรณ์สำหรับเพิ่มสมรรถนะให้กับอาวุธปืนจะมีความแตกต่างไปจากเกมภาคต้นฉบับเป็นอย่างมาก เพราะมันจะไม่ได้มาในรูปแบบของไอเทมที่ตกตามฉาก (Loot) อีกแล้ว แต่มันจะได้มาก็ต่อเมื่อผู้เล่นได้ทำการปลดล็อกเท่านั้น ซึ่ง Mods นั้นจะอยู่กับผู้เล่นตลอด และมันก็จะสามารถใช้งานได้กับอาวุธที่หลากหลายไปพร้อมๆ กันหลายกระบอกได้ แต่ Mods แต่ละชนิดนั้นก็จะไม่สามารถนำมาใส่ได้กับปืนในทุกกระบอก เพราะปืนแต่ละรุ่นก็จะมาพร้อมกับขนาดลำกล้องที่หลากหลาย เช่นเดียวกับปากกระบอกปืนและแมกาซีนเสริม
โดยสาเหตุที่ทางทีมงานปรับเปลี่ยนระบบ Mods นั้นก็เป็นเพราะในเกมภาคแรก Mods มีความจำเป็นที่มากเกินไปในการอัปเกรดความสามารถให้กับอาวุธที่ผู้เล่นเลือกใช้ เพราะมันทำให้การ Reload หรือบรรจุกระสุนนั้นมีความสำคัญที่น้อยลง
เนื่องจากผู้เล่นสามารถเพิ่มขนาดของแมกาซีนได้ด้วยการอัปเกรด Mods ที่ใช้งาน เช่นเดียวกับความคล่องตัวในการเล็งมันก็ขาดพลวัตเพราะผู้เล่นสามารถอัปเกรด Mods ได้โดยตรง ซึ่งการปรับเปลี่ยนระบบ Mods ใน The Division 2 ก็จะเป็นการปรับเปลี่ยนและปรับแต่งเพื่อให้เข้ากับรูปแบบ Playstyle ของผู้เล่นเป็นหลัก มากกว่าการอัปเกรดเพิ่มเพิ่มพลังขึ้นไปเรื่อยๆ
Mods แต่ละชิ้นก็จะมาพร้อมกับค่าสถิติที่ผู้เล่นจะทุกๆ คนจะได้รับมาเหมือนกันหมด โดยมันจะมีค่าทั้งค่าบวกและค่าลบ เช่นการเพิ่มขนาดของแมกาซีนก็จะทำให้ปืนมีจำนวนกระสุนในรังเพลิงมากขึ้น แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยระยะเวลาในการบรรจุกระสุนที่นานขึ้นเนื่องด้วยขนาดและน้ำหนัก ซึ่งทางทีมงานได้บอกว่าการระบบการปลดล็อก มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เล่นแต่ละคนมีแนวทางในการเล่นเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งสมดุลกับผู้เล่นทุกๆ คน
โดยทางทีมงานได้ยกตัวอย่างที่จะทำให้เกมมีความสมจริงในการปรับแต่งที่มากขึ้น จากในเกมภาคแรกนั้นขนาดของแมกาซีนจะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากขึ้น มันก็จะถูกแทนที่ด้วยจำนวนของกระสุนที่ถูกเพิ่มเติมเข้าไปในรังเพลิงแทน ซึ่งเหมือนกับในชีวิตจริง
ดังนั้นมันจึงไม่มีขนาดของแมกาซีนที่จะแสดงผลเป็นเลขเปอร์เซ็นต์อย่าง +121% อีกแล้ว ซึ่งมันก็จะทำให้ความเร็วในการบรรจุกระสุนเปลี่ยนแปลงไปด้วยขนาดของแมกาซีนที่เปลี่ยนแปลง และมันยังทำให้การบรรจุกระสุนมีความเป็นพลวัต ด้วยจังหวะของการต่อสู้ทั้งกับศัตรูในเกมปกติ (PVE) และการต่อสู้ด้วยกันระหว่างผู้เล่นเอง (PVP)
Talents
Talents คือส่วนที่เรียกได้ว่าทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลวในเกมภาคแรก ซึ่งการที่จะได้มานั้น มันก็จำเป็นที่จะต้องให้ผู้เล่นออกไปทำการ Grinding หรือเล่นเกมซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้ได้มาซึ่งอาวุธในระดับ High End และ Exotic ซึ่งมันก็จะยิ่งน่าเศร้าเข้าไปอีก เมื่ออาวุธสุดพิเศษที่เกมให้มาจากความพยายามอย่างยากลำบากนั้น ไม่เข้ากับอุปกรณ์ของผู้เล่นที่มีค่าสถิติต่างๆ ไม่เพียงพอที่จะใช้ความสามารถพิเศษที่อยู่ในตัวอาวุธนั้นๆ
แม้เกมจะเปิดโอกาสให้เราสามารถทำการเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้ได้ค่าสถิติที่เหมาะสม หรือจะทำการสุ่ม Talents ใหม่ได้ แต่มันก็ต้องใช้ทั้งเงินและเวลาในการที่จะทำให้มันกลายเป็นอาวุธที่เข้ากับสไตล์การเล่นของเรา ซึ่งระบบ Talents ใน The Division 2 นั้นมันก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปจากเกมภาคแรกโดยสมบูรณ์ และยังมาพร้อมกับ Talents ใหม่ๆ อีกด้วย
ซึ่ง Talents ใน The Division 2 จะมีบทบาทอย่างมากในการปั้นตัวละครของผู้เล่น ซึ่งทางทีมงานต้องการที่จะทำให้การปั้นตัวละครนั้นมีความสนุก และมีการใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่มากขึ้น ตัวอย่างเช่นอุปกรณ์ของผู้เล่นนั้นจะมี Brand ที่ให้ค่าสถิติเป็นพิเศษอยู่แล้ว หรือการเลือกใช้อาวุธแบบจำเพาะเจาะจงก็เช่นกัน โดยสิ่งเดียวที่จะเป็นข้อจำกัดของ Talents นั้นก็คือธีมของเกมการเล่น และชนิดของอาวุธที่ต้องมีความเชื่อมโยงกับธีมเท่านั้น ซึ่งมันก็จะทำให้การผู้เล่นสามารถทำความเข้าใจกับ Talents ที่สามารถเลือกใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ว่ามันจะเข้ากับสไตล์การเล่นของผู้เล่นหรือไม่ก็ตาม
นอกจากนี้เกมยังมีอีกหนึ่งลูกเล่น นั่นก็คือระบบ Augmented Reality Tracker ที่จะติดตั้งอยู่ที่ด้านข้างของปืน ซึ่งเมื่อผู้เล่นทำการเล็งผ่านกล้อง Real-Time Tracker เกมก็จะแสดงสัญลักษณ์ขึ้นมาว่าผู้เล่นใช้ Talents ชนิดไหนอยู่ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่อาวุธบางชิ้นในเกมภาคแรกมีอยู่แล้ว ที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้เล่นเลือกสวมใส่ Talents อะไรตัวอย่างเช่นจำนวนเปอร์เซ็นต์ของพลังชีวิตที่จะกลับคืนมาสู่ผู้เล่นในเวลา 30 วินาทีหลังจากจัดการกับศัตรูได้สำเร็จ ซึ่งมันก็จะมีสัญลักษณ์แสดงขึ้นมาบน HUD เป็นการบอกกับผู้เล่นว่าความสามารถนั้นได้ถูกใช้งานอยู่ แต่ใน The Division 2 มันก็จะแสดงค่าความสามารถที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น เช่นการบอกจำนวนการยิงที่เหลือก่อนที่ความสามารถที่ผู้เล่นใช้งานจะถูก Active ซึ่งมันก็จะทำให้ผู้เล่นสามารถวางกลยุทธ์ต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น
และนี่ก็คือระบบการอาวุธและการปรับแต่งของ Tom Clancy’s The Division 2 ซึ่งเราก็คงจะได้ทราบกันแล้วว่าทางทีมงานได้นั้น ได้พยายามอย่างมากในการแก้ไขสิ่งต่างๆ ในเกมภาคแรกจริงๆ และยังทำให้มันมีความลึกและละเอียดยิ่งขึ้นกว่าเกมในภาคแรกอีกด้วย โดยเกม The Division 2 นั้นก็จะวางจำหน่ายในวันที่ 15 มีนาคม 2019 ซึ่งหากมีข่าวสารหรือข้อมูลที่น่าสนใจเราก็จะนำมาอัปเดตให้กับผ่านผู้อ่านได้ทราบกันอย่างแน่นอน
สำหรับข้อมูลอื่นๆ ของ The Division 2 นั้นก็สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่แท็ก The Division 2 ของเว็บไซต์ Gamerism.co ได้เลย