ตามชื่อภาคแล้ว “Shadow” of Tomb Raider จะเป็นภาคที่มีความมืดมิดมากที่สุด และมันก็จะเป็นช่วงเวลาที่จะเปนการพา Lara Croft เข้าสู่บททดสอบสุดท้ายเป็นการปิดฉากไตรภาคนี้ ที่ได้นำพาให้เธอไปสู่การก้าวไปเป็น “Tomb Raider” อย่างเต็มตัว
กับเรื่องราวของการล้างแค้น และการตามล่าเหล่าองค์กรร้าย “Trinity” และการผจญภัยอันไม่คาดคิดที่อาจจะเป็น “กาลอวสานของโลก” ตามคำทำนายของ “ชาวมายัน”
ข้อมูลเบื้องต้นของ Shadow of the Tomb Raider
- ผู้พัฒนา: Eidos Montreal
- ผู้ผลิต: Square Enix
- ผู้ออกแบบเกม: Heath Smith
- ผู้เขียนบทเกม: Jason Dozois และ Jill Murray
- เครื่องเกมที่วางจำหน่าย: PC, Xbox One, PlayStation 4
- วันวางจำหน่าย: 14 กันยายน 2018
- แนวเกม: Action-Adventure
นับตั้งแต่ Tomb Raider ภาคแรกของไทม์ไลน์ “Survivor” ที่ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 2013 มันก็ทำให้เราได้รู้จักกับ Lara Croft ตัวเอกจาก Tomb Raider เกมผจญภัยสุดคลาสสิคที่อยู่คู่กับวงการเกมมาอย่างยาวนาน ด้วยมุมมองที่แปลกใหม่และแตกต่างออกไปจากเดิม จากการตีความใหม่ของทีมงาน Crystal Dynamics ที่ต้องการจะให้ผู้เล่นได้สัมผัสเรื่องราวของ Lara Croft ในช่วงวัยเปลี่ยนผ่าน ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหลายที่จะชักนำให้เธอได้กลายเป็น Lara Croft อย่างเราได้รู้จักกันดี และในการปิดบทสุดท้ายของ Lara Croft อย่างเต็มภาคภูมินั้น มันก็เป็นหน้าที่ของเกมภาคสุดท้ายของไตรภาคนี้อย่าง Shadow of the Tomb Raider ก็จะต้องนำเสนอช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของเธอให้ได้
และผู้ที่จะอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของ Lara Croft ก็คงจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก นักแสดงสาวผู้รับบท Lara Croft ในไทม์ไลน์ Survivor อย่าง Camilla Luddington ดาราสาวชาวอังกฤษจากซีรีส์ Grey’s Anatomy ที่ได้มาออกมาเล่าเรื่องราวของ Lara Croft กับความเปลี่ยนแปลงของเธอที่ทำให้เธอมีความเป็นผู้ร้ายยิ่งกว่าเกม Tomb Raider ภาคที่ผ่านมา ผ่านทางบทสัมภาษณ์กับทางสำนักข่าว Entertainment Weekly
จากเหตุการณ์ภาคที่แล้วใน Rise of Tomb Raider “มันก็เป็นเวลาที่ไม่นานมากนัก อันที่จริงแล้วในภาคแรกเธอยังเป็นเด็กสาวที่มีความไร้เดียงสา แม้ว่าเธอจะผ่านการสูญเสียพ่อและแม่ของเธอมา ฉันรู้สึกได้ว่าเธอได้สร้างครอบครัวของเธอขึ้นมาใหม่ที่พร้อมจะสนับสนุนตัวเธอ แต่เธอก็สูญเสียมันไปให้กับ “ยามาไท” (ดินแดนลึกลับของ ‘องค์หญิงฮิมิโกะ’ ที่เป็นสถานที่หลักในการดำเนินเรื่องในภาคแรก) เธอเสีย Roth (ซึ่งเป็นผู้ที่ดูแลเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก) และถึงแม้เธอจะไม่ได้สูญเสีย Sam (เพื่อนสนิทของ Lara) แต่เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงการสูญเสีย ซึ่งฉันรู้สึกว่าในภาคที่สองนั้นเธอได้มีมุมมองที่แคบลงไปกับเรื่องราวของ Trinity (องค์กรร้ายผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การสูญเสียของ Lara) “
ในเกมภาคนี้ก็จะมีช่วงเวลาที่เป็นจุดต่ำสุดของเธอ ที่ตัวเธอนั้นก็จะไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน
“และในเกมภาคนี้เธอก็จะถลำลึกเขาไปในมุมมองที่แคบของเธอ และทำให้เธอมีความหมกมุ่นลุ่มหลงไปกับมันมากขึ้น มันได้แปรเปลี่ยนจากการถูกตามล่ากลายเป็นตัวเธอเองที่มีภารกิจเพียงหนึ่งเดียวคือการล่าแทน สำหรับฉันแล้วมันน่าสนใจมาก เพราะในเกมภาคนี้ เธอดูเหมือนกับว่า ได้สูญเสียการควบคุมตนเองไปให้กับความหมกมุ่นที่เกิดขึ้นจากตัวเธอเองไปแล้ว”
“และในเกมภาคนี้ก็จะมีช่วงเวลาที่เป็นจุดต่ำสุดของเธอ ที่ตัวเธอนั้นก็จะไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน จนฉันคิดว่าตัวเธอนั้นก็คงกำลังพยายามที่จะหาหนทางในการแก้ปัญหาด้วยตัวของเธอไปพร้อมกับการตั้งคำถามกับตัวเองไปพร้อมๆ กันว่า ตัวเธอนั้นเป็นใครกันแน่? จุดยืนของเธอคือที่แห่งไหน? และการต่อสู้ทั้งหมดนั้น มันเพื่ออะไร? นั่นคือที่เราจะได้เห็นในเกมภาคนี้”
และนั่นก็เป็นส่วนสำคัญของการเติบโตและการเปลี่ยนผ่านในช่วงชีวิต จากช่วงเวลาที่ดำมืดมากที่สุดที่อาจจะทำให้เธอก้าวผ่านเส้นแบ่งของศีลธรรมและความถูกต้อง เพียงเพื่อจุดมุ่งหมายอันเป็นหนึ่งเดียวของเธอ “สิ่งที่น่าสนใจมากสำหรับฉัน โดยเฉพาะกับเกมภาคนี้คือมันจะมีช่วงเวลาที่คุณอาจจะได้เห็น Lara ที่เกือบจะกลายไปเป็นวายร้ายที่ตรงข้ามกับภาพของการเป็นฮีโร่อย่างสิ้นเชิง และคุณก็อาจจะทำความเข้าใจกับเหล่าวายร้ายในภาคนี้ได้ว่าพวกพวกเขาเองก็อาจจะเป็นฮีโร่ได้เหมือนกัน และแน่นอนว่าเธอได้ข้ามผ่านเส้นกันอะไรบางอย่างไปที่เธอไม่ควรก้าวข้ามผ่านมา
“เธอเหมือนกับว่าเธอได้สูญเสียตัวตนของเธอไปแล้ว และสำหรับฉันมันน่าสนใจมากๆ ที่คุณจะได้เห็นว่ามันจะมีช่วงเวลาที่คุณต้องตั้งคำถามกับตัวละครที่เป็นผู้นำของเกมว่าอะไรที่เป็นแรงผลักดันในตัวเธอ และการที่เธอทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อเป้าหมายของเธอมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่”
มาถึงตรงนี้หลายคนก็คงจะมีคำถามในใจว่าฉากจบของ Shadow of the Tomb Raider จะลงเอยในรูปแบบไหน หลังจากที่ Lara ได้ผ่านช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดของเธอมา อะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้เธอได้กลายเป็น “Tomb Raider” ที่แท้จริงอย่างที่เรารู้จักกัน และเรื่องราวของเธอจะมีการสานต่อและดำเนินไปอย่างไร หลังจากที่ ไตรภาค Survivor นี้จบลงอย่างสมบูรณ์
“ฉันคิดว่าตอนจบของมันจะเป็นอะไรที่น่าแปลกสำหรับฉันมาก และอาจจะมากที่สุดในเกมๆ นี้จากการที่ฉันได้ทำโมชันแคปเจอร์ไปแล้ว มันเป็นเกมที่ฉันชื่นชอบฉากจบของมันมากที่สุด และฉันเชื่อว่ามันจะเป็นทรงพลังมาก มันเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉันมากๆ ฉันคิดว่าฉันเองก็คงจะอินไปกับมันได้อีกเมื่อเกมมันออกมา (วางจำหน่าย) ไปพร้อมกับผู้คนที่เข้าใจว่าฉากจบในเกมมันสื่อถึงอะไร สำหรับฉันฉากจบมันเป็นส่วนที่มีเสน่ห์มากที่สุดแล้ว”
“ในตอนจบของเรื่องราวของเธอน่ะเหรอ? มันดูเหมือนกับว่าพวกเขาได้ทำการตลาดว่าเธอจะกลายเป็น Tomb Raider ในท้ายที่สุด ซึ่งตามแนวคิดพื้นฐานแล้วมันก็ใช่ มันคือจุดจบของการเดินทางของเธอในการที่เธอจะกลายเป็น Tomb Raider แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเรื่องราวของ Lara Croft นั้นจะมีจุดจบเสียทีเดียว ซึ่งนั่นก็เป็นคำถามที่น่าสนใจนะ”
เกร็ดเล็กที่ไม่น้อย:
- Eidos Montreal ผู้รับช่วงต่อจากทีมพัฒนา Crystal Dynamic ผู้พัฒนาเกม Tomb Raider คือู้สร้างเกม Deus Ex: Human Revolution และ Deus Ex: Mankind Divided
- เกม Deus Ex: Human Revolution คือเกมที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับ Tomb Raider (2013)
- Tomb Raider ภาคต้นฉบับเมื่อปี 1996 เป็นเกมแรกๆที่มีการใช้โมเดล 3 มิติเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นผลงานการพัฒนากว่า 3 ปีของทีมงาน Core Design ที่มีพนักงานเพียงแค่ 6 คนเท่านั้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง: